วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2568

เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการอันเป็นเท็จ วินัยไล่ออก อาญาจำคุก

 บทความโดยนายก้องทภพ  แก้วศรี


            บทความนี้เรื่อง  เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการอันเป็นเท็จ วินัยไล่ออก อาญาจำคุก ก็เป็นบทความที่อยากจะเตือนสติผู้ต้องใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านราชการ ซึ่งเป็นสิทธิสวัสดิการที่ข้าราชการได้รับโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การใช้สิทธิเบิกก็ต้องมีข้อเท็จจริงตรงตามที่กฎหมายระบุด้วย จะมีส่วนที่เป็นเท็จไม่ได้ จะมีผลถึงการถูกดำเนินการทางวินัย ถูกดำเนินคดีอาญา และต้องชดใช้เงินที่เบิกเป็นเท็จนั่นคืนด้วย

            กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือ พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ.2547และที่แก้ไขเพิ่มเติม  โดยมาตรา 7 บัญญัติไว้ว่า " ข้าราชการผู้ใดได้รับคําสั่งให้เดินทางไปประจําสํานักงานในต่างท้องที่มี สิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการเท่าที่ต้องจ่ายจริงตามที่สมควรแก่สภาพแห่งบ้าน แต่อย่างสูงไม่เกิน จํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ ทั้งนี้เว้นแต่ผู้นั้น

            (1) ทางราชการได้จัดที่พักอาศัยให้ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกําหนด
            (2) มีเคหสถานอันเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือคู่สมรสในท้องที่ที่ไปประจํา สํานักงานใหม่ โดยไม่มีหนี้ค้างชําระกับสถาบันการเงิน
            (3) ได้รับคําสั่งให้เดินทางไปประจําสํานักงานใหม่ในต่างท้องที่ตามคําร้องขอของ ตนเอง

            ในกรณีที่ข้าราชการและคู่สมรสรับราชการอยู่ในท้องที่เดียวกัน มีมาตรา 10 บัญญัติไว้ว่า " ถ้าข้าราชการและคู่สมรสรับราชการในท้องที่เดียวกันและต่างก็มีสิทธิ ได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกานี้ให้เบิกจ่ายได้เฉพาะคนใดคนหนึ่ง

            ข้าราชการผู้ใดมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกานี้และมีคู่สมรสเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานคร พนักงานส่วนท้องถิ่น หรือพนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือพนักงานหรือเจ้าหน้าที่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หรือ องค์การมหาชน ถ้าคู่สมรสของผู้นั้นได้ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน หรือข้าราชการผู้นั้นได้อยู่ในที่พักอาศัยที่ ทางราชการจัดให้แก่คู่สมรสในท้องที่เดียวกัน ข้าราชการผู้นั้นไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการตาม พระราชกฤษฎีกานี้"

              การใช้สิทธิเบิกค่าเช่าข้าราชการ ต้องเป็นการเช่าจริง และอยู่จริง ตามมาตรา 14 ที่บัญญัติว่า " ให้ข้าราชการมีสิทธิได้รับเงินค่าเช่าบ้านข้าราชการตั้งแต่วันที่ข้าราชการ ผู้นั้นได้เช่าอยู่จริง แต่ไม่ก่อนวันที่รายงานตัวเพื่อเข้ารับหน้าที่ และให้สิ้นสุดในวันที่ขาดจากอัตรา เงินเดือนหรือวันที่อยู่ในข่ายหมดสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกานี้ถ้าผู้ซึ่งได้รับ แต่งตั้งให้ไปรับราชการในท้องที่อื่นไม่สามารถออกเดินทางไปได้ในวันที่ส่งมอบหน้าที่ ให้มีสิทธิได้รับ ค่าเช่าบ้านข้าราชการต่อไปอีกไม่เกินสิบวันนับแต่วันส่งมอบหน้าที่ เว้นแต่มีความจําเป็นจะต้องอยู่ ต่อไปอีก ให้เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการต่อไปได้เท่าที่จําเป็นโดยได้รับการอนุมัติจากผู้ออกคําสั่งแต่งตั้ง"

            ช่าจริง อยู่จริง ต้องเป็นกรณีได้อาศัยอยู่จริงตามปกติวิสัยในบ้านหลังที่เช่า ไม่ใช่กรณีเช่าแล้วอยู่เพียง 2-3 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งกรณีเช่นนี้ กรมบัญชีกลาง พิจารณาแล้ว ถือว่าไม่ได้พักอาศัยอยู่จริงตามปกติวิสัยในบ้านหลังที่เช่า และไม่ได้มีความเดือดร้อนในเรื่องที่พักอาศัยในท้องที่ที่ปฏิบัติราชการ จึงไม่สามารถนำหลักฐานการชำระค่าเช่าบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านจากทางราชการได้ ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ที่ กค 0422.3/20266 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2555

            กรณีคู่สมรส หากต้องการใช้สิทธิทั้งฝ่าย ต้องไม่เข้าเงื่อนไขมาตรา 10 โดย รับราชการคนละท้องที่ และได้เช่าและอาศัยอยู่จริง คนละท้องที่  ย่อมไม่ตัดสิทธิคู่สมรสทั้งสองฝ่ายในการเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ เพราะไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 10 ไม่จำเป็นต้องหย่าขาดจากกันตามกฎหมายแต่อย่างใด

            แต่ถ้าคู่สมรสรับราชการต่างท้องที่ แต่ได้พักอาศัยอยู่ในบ้านที่คู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ ตลอดเวลา ความจำเป็นหรือความเดือดร้อนของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องที่อยู่อาศัยย่อมไม่มี ทำให้การเช่าบ้านของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ได้อยู่จริงเป็นปกติวิสัย การใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านจึงอาจเข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการอันเป็นเท็จจริงได้   

              ถ้าหย่ากัน  ถือว่าไม่มีความสัมพันธ์กันในฐานะคุ่สมรสตามกฎหมาย  แต่ข้อเท็จจริงคือยังคงอยู่ด้วยกันในบ้านหลังเดียวกันในท้องที่หนึ่งตลอดเวลาภายหลังจากที่หย่าขาดจากกันตามกฎหมาย ในประเด็นนี้ มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ว่า การจดทะเบียนหย่ากัน แต่ยังคงอยู่ด้วยกันตลอดเวลา มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้แล้วว่า การจดทะเบียนหย่าเป็นโมฆะ การสมรสยังคงมีอยู่ ดังนี้

            คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 8333/2560

            ภายหลังจากจำเลยกับ ส. จดทะเบียนหย่ากันแล้ว จำเลยกับ ส. ยังคงอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาพักอาศัยอยู่ที่บ้านเดียวกัน ทั้งจำเลยยังเป็นผู้ดูแล ส. เมื่อยามเจ็บไข้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนกระทั่ง ส. ถึงแก่ความตาย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า การจดทะเบียนหย่าระหว่างจำเลยกับ ส. กระทำขึ้นโดยมีเจตนาที่จะไม่ประสงค์ให้ผูกพันตามนั้น จึงเป็นโมฆะใช้บังคับมิได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยจะเบิกความว่า เหตุที่จำเลยจดทะเบียนหย่าเพราะเหตุผลทางธุรกิจการค้าของจำเลย แตกต่างจากเหตุผลการหย่าในคำให้การก็ตาม ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยเสียไป เพราะเหตุผลการหย่าไม่ได้เป็นสาระสำคัญ สาระสำคัญอยู่ที่การแสดงเจตนา เมื่อการจดทะเบียนหย่าเป็นโมฆะ การสมรสยังคงมีอยู่ มีผลทำให้บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าเกี่ยวกับการยกที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้ ส. ใช้บังคับมิได้ จำเลยอ้างความเป็นโมฆะดังกล่าวใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นทายาทรับมรดกของ ส. ที่จะต้องรับไปทั้งสิทธิและความรับผิดต่าง ๆ ได้

            ถ้าทั้งสองฝ่ายต่างใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ  ย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่า มีฝ่ายหนึ่งที่เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการอันเป็นเท็จจริงอยู่ตลอดเวลาที่ใช้สิทธิ เพราะจะติดเงื่อนไขที่ว่าไม่ได้เช่าจริงและอาศัยอยู่จริงตามปกติวิสัยในบ้านหลังที่เช่า ตามเงื่อนของกฎหมายและหนังสือตอบข้อหารือของกรมบัญชีกลางดังกล่าว

             การกระทำดังกล่าวถือว่ามีเจตนาไม่สุจริตในการใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ  มีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ในขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างพยานหลักฐานที่นำมาใช้ในการเบิกเงินค่าเช่าบ้านข้าราชการอันเป็นเท็จ  จะไปเข้าเงื่อนไขความผิดอาญา โดยมีคำพิพากษาศาลฎีกา พิจารณาไว้เมื่อ ปี พ.ศ.2540 ดังนี้

            คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6154/2540

               ใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิของผู้ให้เช่าจึงเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9)จำเลยนำใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยปลอมขึ้นและเป็นเอกสารเท็จยื่นประกอบแบบใบขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านเพื่อเบิกเงินค่าเช่าบ้าน และจำเลยได้รับเงินค่าเช่าบ้านจากคลังจังหวัดชุมพรไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่สำนักงานคลังจังหวัดชุมพรหลงเชื่อว่าจำเลยได้เช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินดังกล่าวจริง และโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่สำนักงานคลังจังหวัดชุมพรหลงเชื่อและทำให้จำเลยได้รับเงินค่าเช่าบ้านตามที่จำเลยขอเบิกจ่ายไปจากเจ้าหน้าที่สำนักงานคลังจังหวัดชุมพร อันน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เจ้าหน้าที่คลังจังหวัดชุมพร ก. และกรมส่งเสริมสหกรณ์ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตาม มาตรา 268
                จำเลยกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับเอกสารและกรอกข้อความลงในเอกสารรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(4)และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและโดยทุจริตตามมาตรา 157 เมื่อเป็นความผิดตามมาตรา 162(4)ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่ปรับบทลงโทษตามมาตรา 157 อีก
                การที่จำเลยซึ่งดำรงตำแหน่งสหกรณ์จังหวัดชุมพรซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการของสำนักงานสหกรณ์จังหวัดชุมพร ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรให้ทำการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรในการอนุมัติให้เบิกจ่ายค่าเช่าบ้านของข้าราชการและลูกจ้างในสำนักงานสหกรณ์จังหวัดชุมพร ได้ทำการอนุมัติให้เบิกจ่ายค่าเช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินในแบบใบขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านโดยรู้อยู่แล้วว่าเอกสารใบขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านและใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านเป็นเอกสารปลอม และมีข้อความเท็จโดยจำเลยได้ลงลายมือชื่ออนุมัติให้เบิกจ่ายค่าเช่าบ้านได้จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและโดยทุจริตอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
                   ตามเอกสารพิพาทเป็นเอกสารของจำเลยที่จำเลยนำเงินส่วนที่เบิกเกินไปคืนแก่ทางราชการและตามใบเสร็จรับเงินของกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่ได้รับเงินจากจำเลยไม่ปรากฏว่าได้มีการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในความผิดฐานฉ้อโกงและลำพังการที่จำเลยส่งเงินส่วนที่จำเลยเบิกเกินคืนกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมส่งเสริมสหกรณ์รับไว้ ก็เพียงแต่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดทางแพ่งเท่านั้นไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดทางอาญา และยังถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมความกันอันจะทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะนำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกง และในความผิดฐานอื่น
                การที่จำเลยปลอมใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านอันเป็นเอกสารสิทธิซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 นั้น จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน และการที่จำเลยได้นำแบบคำขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านและใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านอันเป็นเอกสารสิทธิที่จำเลยทำปลอมขึ้นดังกล่าวซึ่งมีข้อความเท็จเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เพื่อให้เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่สำนักงานคลังจังหวัดชุมพรหลงเชื่อว่าจำเลยได้เช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินดังกล่าวจริงและโดยการหลอกลวงทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่สำนักงานคลังจังหวัดชุมพรหลงเชื่อและทำให้จำเลยได้รับเงินตามที่ขอเบิกจ่ายไปจากเจ้าหน้าที่สำนักงานคลังจังหวัดชุมพรอันเป็นความผิดตามมาตรา 341 และมาตรา 268 และการที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่กรอกข้อความรับรองคำขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านได้รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ อันเป็นความผิดตามมาตรา 162(4) และการที่จำเลยในฐานะที่ดำรงตำแหน่งสหกรณ์จังหวัดชุมพรซึ่งเป็นหัวหน้าสำนักงานสหกรณ์จังหวัดชุมพรได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรในการอนุมัติการเบิกจ่ายเงินค่าเช่าบ้านแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรได้ลงลายมือชื่ออนุมัติการเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านของจำเลยในแบบคำขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยปลอมขึ้นและมีข้อความอันเป็นเท็จ อันเป็นความผิดตามมาตรา 157 นั้นเป็นการกระทำคนละครั้งคนละคราวกัน แต่การที่จำเลยปลอมใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้าน นำใบเสร็จดังกล่าวไปใช้ประกอบการยื่นคำขอเบิกเงินค่าเช่าบ้าน ลงลายมือชื่อรับรองการเบิกเงินค่าเช่าบ้านรวมทั้งลงลายมือชื่ออนุมัติการเบิกจ่ายเงินค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือนดังกล่าวนั้น แม้จะเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ก็เป็นการกระทำโดยมีเจตนาและจุดประสงค์ในผลอันเดียวกัน คือมุ่งที่จะได้รับเงินค่าเช่าบ้าน การกระทำดังกล่าวตั้งแต่ปลอมใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านจนถึงการอนุมัติให้เบิกจ่ายค่าเช่าบ้านจึงเป็นกระบวนการเดียวกันเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าเช่าบ้านตามที่จำเลยประสงค์และเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกัน จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกันในแต่ละเดือนแต่ละคำขอ ตามมาตรา 90เมื่อจำเลยกระทำการดังกล่าวรวม 12 เดือน เดือนละหนึ่งครั้งรวม 12 ครั้ง จึงถือได้ว่าจำเลยกระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 และในแต่ละกรรมต้องลงโทษในบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดคือตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (
https://deka.in.th/view-27431.html สืบค้นวันที่ 25/12/2567)

                    ตามคำพิพากษาศาลฎีกานี้  ข้าราชการที่ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการอันเป็นเท็จ จะมีความผิดอาญ  ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและโดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับเอกสารและกรอกข้อความลงในเอกสารรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(4) มีอัตราโทษจำคุกและปรับ หรือทั้งจำและปรับ  ซึ่งด้วย 

                    การเบิกค่าเช่าข้าราชการอันเป็นเท็จ จะเกี่ยวข้องกับผู้ที่เป็นคณะกรรมการไปตรวจสอบสภาพบ้านและผู้อนุมัติ ให้ต้องรับผิดทางวินัยและทางอาญาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าคณะกรรมการตรวจสอบ และผู้อนุมัติทราบข้อเท็จจริงขณะไปตรวจสภาพบ้านหรือไม่ ว่าข้าราชการผู้ใช้สิทธิเบิกไม่ได้เช่าจริง และไม่ได้อยู่จริงในบ้านที่เช่า  

                    ดังนั้น ข้าราชการต้องการใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ  แต่เป็นการสร้างพยานหลักฐานเท็จ เพื่อใช้สิทธิ จะถือว่าคุ้มค่ากับการถูกไล่ออกจากราชการ ถูกศาลพิพากษาให้จำคุก และชดใช้เงินค่าเช่าบ้านข้าราชการที่เบิกไปแล้ว หรือไม่  ต้องไปไตร่ตรองให้ละเอียดด้วย 


--------------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิง

1.https://deka.in.th/view-27431.html สืบค้นวันที่ 25/12/2567


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น