บทความโดย ก้องทภพ แก้วศรี
แจ้ง สว.3ไม่ถูกต้อง คำสั่งลงโทษไม่ชอบ
เป็นหัวข้อที่จะมาศึกษาหาความรู้กันในบทความนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนดำเนินการทางวินัยข้าราชการ ที่ทั้งผู้ที่เป็นคณะกรรมการ ผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน และผู้ที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ต้องทราบว่าการแจ้ง สว.3 ของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน และวิธีการอันเป็นสาระสำคัญแล้วหรือไม่
การแจ้ง สว.3 คือ การแจ้งแบบบันทึกที่มีสาระสำคัญที่เกี่ยวกับ การแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญของการสอบสวน หากในการสอบสวนทางวินัย คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาไม่ถูกต้อง จะมีผลต่อการพิจารณาสำนวนการสอบสวน และคำสั่งลงโทษทางวินัย ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นำมาเป็นข้ออ้างในการอุทธรณ์และฟ้องคดีปกครองต่อไป เพราะคำสั่งลงโทษทางวินัย ถือเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ที่หมายความว่า "การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ ปลี่ยนแปลงโอน สงวน ระงับหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว..."
การแจ้ง สว.3 หรือที่เรียกว่าการแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา เป็นขั้นตอนภายหลังที่คณะกรรมการสอบสวนได้แจ้งและอธิบายข้อกล่าวหาเท่าที่ปรากฎตามเรื่องที่กล่าวหาและตามพยานหลักฐานที่กล่าวหา หรือเรียกว่า "การแจ้ง สว.2 "แล้วผู้ถูกกล่าวหามิได้ให้ถ้อยคำรับสารภาพหรือรับสารภาพบางส่วน ทำให้คณะกรรมการสอบสวนต้องดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กล่าวหา คือ รวบรวมพยานเอกสาร พยานบุคคล และพยานวัตถุต่อไป ถ้าคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฎตามเรื่องที่กล่าวหา เพียงพอที่จะพิสูจน์การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาได้ เช่น เป็นพยานหลักฐานที่เป็นคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด พยานหลักฐานที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบและชี้มูลมาให้ดำเนินการทางวินัย หรือเป็นพยานหลักฐานที่ผู้ร้องได้มีการรวบรวมเอกสารหลักฐานที่เชื่อถือได้มาพร้อมกับเรื่องร้องเรียนแล้ว เป็นต้น คณะกรรมการสอบสวนจะดำเนินการประชุมเพื่อพิจารณาว่ามีพยานหลักฐานใดสนับสนุนข้อกล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำการใด เมื่อใด อย่างไร ถ้าเห็นว่าเป็นความผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด ก็ให้คณะกรรมการสอบสวนเรียกผู้ถูกกล่าวหามาพบเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา โดยระบุข้อกล่าวหาที่ปรากฎตามพยานหลักฐานว่าเป็นความผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด และสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาเท่าที่มีให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ โดยทำบันทึกซึ่งมีสาระสำคัญตามแบบ สว.3 ที่กำหนด โดยการประชุมพิจารณาพยานหลักฐานในขั้นตอนนี้ต้องมีคณะกรรมการสอบสวนมาประชุมให้ครบองค์ประชุมด้วย
บันทึกสาระสำคัญตามแบบ สว.3 จึงมีข้อกล่าวหาและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดที่กล่าวหา มาตรากฎหมายที่ระบุว่าผิด และสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา แล้วดำเนินการแจ้งผู้ถูกกล่าวหาทราบเพื่อให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนอย่างเต็มที่และถูกต้องตรงประเด็นเพื่อหักล้างข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่ประกันความเป็นธรรมหรือมาตรฐานในการปฏิบัติราชการที่ไม่ต่ำกว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนดในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ในมาตรา 30 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า "ในกรณีที่คำสั่งทางปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณีเจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน"
กรณีที่เป็นการแจ้ง สว.3 ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญ ตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด คือ
1. การแจ้งโดยมีข้อความในลักษณะของการแจกแจงรายการพยานบุคคล รายการพยานเอกสาร โดยมิได้มีการสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาที่ได้จากถ้อยคำบุคคลและพยานเอกสารดังกล่าวในลักษณะของการระบุวัน เวลา สถานที่ และการกระทำของพยานบุคคล ตลอดจนความเกี่ยวข้องของพยานเอกสารที่อ้างอิงว่ามีลักษณะเป็นการสนับสนุนข้อกล่าวหาอย่างเพียงพอ ถือเป็นการแจ้ง สว.3 ไม่ถูกต้อง ตามรูปแบบขั้นตอน และวิธีการอันเป็นสาระสำคัญ (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.23/2553)
2 . การแจ้งแต่เพียงรายชื่อพยานบุคคลที่ให้การสนับสนุนข้อกล่าวหาโดยมิได้มีการแจ้งสรุปพยานหลักฐานดังกล่าว มีผลทำให้การแจ้งสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาและกระบวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนด (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.63/2553)
3. ออกคำสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหา โดยมิได้แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาเท่าที่มีให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบและได้ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงและนำสืบแก้ข้อกล่าวหา จึงเป็นการทำคำสั่งโดยไม่ได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญฯ คำสั่งลงโทษดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.250/2553)
5.การสอบสวนเพิ่มเติม...เป็นการดำเนินการทางวินัยที่มิได้มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ทราบและมีโอกาสได้โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสอบสวนเพิ่มเติมดังกล่าว กรณีจึงถือว่ามีมาตรฐานในการปฏิบัติต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดวไว้ในมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ซึ่งหากข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่ได้จากการสอบสวนเพิ่มเติมนั้น เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวก้บการกระทำหรือพฤติการณ์อันนำไปสู่การลงโทษทางวินัยที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีโอกาสได้ทราบและโต้แย้งมาก่อน ต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ทราบและโต้แย้งข้อเท็จจริงนั้นด้วย (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ อ.382/2553)
6.คณะกรรมการแจ้งข้อกล่าวหาพร้อมทั้งสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาและแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบถึงวัน เวลา สถานที่และการกระทำที่มีลักษณะเป็นการสนับสนุนข้อกล่าวหา..แต่มิได้ระบุว่าเป็นความผิดวินัยตามมาตราใดให้ปรากฎในแบบ สว.3 (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.51/2554)
กล่าวโดยสรุป คือ เมื่อการแจ้ง สว.3 มีลักษณะไม่ถูกต้องตามแนวคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว ถือว่าเป็นการแจ้ง สว.3 ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนดย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือว่ายังไม่ได้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตน มีผลทำให้คำสั่งลงโทษทางวินัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนกรณีผู้ถูกกล่าวหาเห็นว่า ตาม สว.3 พยานหลักฐานนั้นไม่สามารถพิสูจน์การกระทำผิดได้ ก็เป็นเรื่องการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของคณะกรรมการสอบสวน และผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนและลงโทษ ซึ่งเป็นอีกกรณีหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับการแจ้ง สว.3 ไม่ถูกต้อง
************************
ขอขอบคุณ
๑.สรุปสาระสำคัญของคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่เผยแพร่ทางเว็บไซด์ http://www.admincourt.go.th วิชาการ /วารสาร/หนังสือวิชาการ : แนวคำวินิจฉัยของศาลปกครอง
๒.ภาพจากเว็บไซด์ https://www.freepik.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น