บทความโดยนายก้องทภพ แก้วศรี
การยื่นฟ้องคดีปกครอง ผู้มีสิทธิฟ้องต่อศาลปกครอง คือ ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องจากการกระทำ หรือการงดเว้นการกระทำของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง หรือกรณีอื่นใดที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองหรือวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 และการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือความเสียหาย หรือยุติข้อโต้แย้งนั้น ต้องมีคำบังคับตามที่กำหนดในมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ผู้นั้นมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
กรณีหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่งหรือการกระทำอื่นใด เนื่องจากการกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ (มาตรา 9(1) ซึ่งต้องการให้ศาลกำหนดคำบังคับให้เพิกถอนกฎ หรือคำสั่ง หรือสั่งห้ามกระทำทั้งหมดหรือบางส่วน (มาตรา 72) โดยที่
กฎ หมายความว่า พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ หรือบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไป โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ (มาตรา 5 พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539)
การฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครอง จะต้องยื่นฟ้องภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอต่อหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดและไม่ได้รับหนังสือชี้แจงจากหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือได้รับแต่เป็นคำชี้แจงที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่มีเหตุผลแล้วแต่กรณี เว้นแต่จะมีกฎหมายเฉพาะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น (มาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองหรือวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542)
ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนหรือวิธีการสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายในเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ การฟ้องคดีปกครองในเรื่องนั้น จะทำได้ต่อเมื่อมีการดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกล่าว และได้มีการสั่งการตามกฎหมายนั้น หรือมิได้มีการสั่งการภายในเวลาอันสมควร หรือภายในเวลาที่กฎหมายนั้นกำหนด เช่น ในเรื่องนั้น กฎหมายกำหนดให้อุทธรณ์ได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จะต้องมีการอุทธรณ์ภายในเวลาที่กำหนดเสียก่อน เป็นต้น (มาตรา 42วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองหรือวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542)
แต่คำสั่งทางปกครองที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้งต่อไปได้ ให้ระบุกรณีที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้ง การยื่นคำอุทธรณ์หรือคำโต้แย้ง และระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์หรือโต้แย้งดังกล่าวไว้ด้วย ในกรณีที่มีการฝ่าฝืน ให้ระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์ หรือโต้แย้งเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้ง แต่ถ้าไม่มีการแจ้งใหม่และระยะเวลาดังกล่าวมีระยะเวลาสั้นกว่าหนึ่งปี ให้ขยายเป็นหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งทางปกครอง กล่าวคือ คำสั่งทางปกครองต้องแจ้งกรณีและระยะเวลาที่อาจอุทธรณ์ได้ไว้ด้วย ถ้าไม่แจ้งผู้นั้นสามารถอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองนั้นได้ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งทางปกครอง (มาตรา 40 พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539)
คำสั่งทางปกครองใดไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรีและไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองไว้เป็นการเฉพาะ ให้คู่กรณีอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองนั้น โดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครองภายใน 15 วันนับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว คำอุทธรณ์ต้องทำเป็นหนังสือโดยระบุข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างอิงประกอบด้วย(มาตรา 44 พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539) ให้เจ้าหน้าที่ พิจารณาคำอุทธรณ์และแจ้งผู้อุทธรณ์โดยไม่ชักช้า แต่ต้องไม่เกิน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ ในกรณีที่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก็ให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงคำสั่งทางปกครองตามความเห็นของตนภายในกำหนดเวลาดังกล่าวด้วย (มาตรา 45วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539) เช่น คำสั่งเลื่อนเงินเดือน ผลการประเมิน การไม่อนุญาตให้ลา ไม่อนุญาตให้เบิกเงินต่างๆ เป็นต้น เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว ถ้าไม่พอใจให้อุทธรณ์ต่อผู้ทำคำสั่งภายใน 15 วัน และผู้ทำคำสั่งต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ถ้าผู้อุทธรณ์ยังไม่ได้รับแจ้งผล ก็สามารถฟ้องคดีได้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่พ้น 90 วันนับแต่วันที่ยื่นอุทธรณ์
ถ้าเจ้าหน้าที่ ไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก็ให้เร่งรายงานความเห็นพร้อมเหตุผลไปยังผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา30 วันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ ให้ผู้มีอำนาจพิจารณาคำอุทธรณ์พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ตนได้รับรายงาน ถ้ามีเหตุจำเป็นไม่อาจพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์มีหนังสือแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบก่อนครบกำหนดเวลาดังกล่าว ในการนี้ ให้ขยายเวลาพิจารณาอุทธรณ์ออกไปได้ไม่เกิน 30 วันนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลาดังกล่าว (มาตรา 45 วรรคสอง พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539) กล่าวคือ ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์จากกรณีที่ผู้ทำคำสั่งไม่เห็นด้วยกับอุทธรณ์ ต้องพิจารณาอุทธรณ์นั้นให้เสร็จภายใน 30 วันนับแต่ที่ได้รับรายงาน ถ้าพิจารณายังไม่แล้วเสร็จ และไม่ได้แจ้งผู้อุทธรณ์ทราบ ผู้อุทธรณ์สามารถฟ้องคดีได้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่พ้น 90 วันนับแต่วันที่ยื่นอุทธรณ์
คำสั่งใดที่อาจฟ้องต่อศาลปกครองได้ ให้ออกคำสั่งระบุวิธีการยื่นคำฟ้องและระยะเวลาสำหรับยื่นคำฟ้องไว้ในคำสั่งดังกล่าวด้วย ในกรณีปรากฎต่อผู้ออกคำสั่งใดในภายหลังว่า ตนมิได้ปฏิบัติตาม ให้ผู้นั้นดำเนินการแจ้งข้อความนั้น ให้ผู้รับคำสั่งทราบโดยมิชักช้า ในกรณีนี้ให้ระยะเวลาสำหรับยื่นคำฟ้องเริ่มนับใหม่นับแต่วันที่ผู้รับคำสั่งได้รับแจ้งข้อความดังกล่าว ถ้าไม่มีการแจ้งใหม่ และระยะเวลาสำหรับยื่นคำฟ้องมีกำหนดน้อยกว่าหนึ่งปี ให้ขยายเวลาสำหรับยื่นคำฟ้องเป็นหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง (มาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองหรือวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542) กล่าวคือ การแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ หรือคำสั่งทางปกครองใดที่ไม่ต้องอุทธรณ์ก่อน โดยการแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ หรือคำสั่งทางปกครองนั้น ไม่ระบุวิธีการยื่นคำฟ้องและระยะเวลาสำหรับยื่นคำฟ้องไว้ด้วย ให้ระยะเวลายื่นฟ้องขยายเป็น หนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ หรือคำสั่งทางปกครองที่ไม่ต้องมีการอุทธรณ์ก่อน
"ต่อมาผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ มีหนังสือลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2552 แจ้งว่าได้วินิจฉัยว่า คำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีฟังไม่ขึ้น และสั่งยกอุทธรณ์ พร้อมแจ้งว่าหากไม่เป็นที่พอใจ อาจฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ คำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปครองที่เกิดขึ้นใหม่และมีผลเป็นการยืนยันคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินใหมทดแทน แม้คำขอท้ายฟ้องจะไม่ได้ระบุขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ แต่ได้นำคดีมาฟ้องภายหลังจากที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว ย้่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า ผู้ฟ้องคดีมีความประสงค์จะให้ศาลพิจารณาผลคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ยกอุทธรณ์ด้วย ซึ่งมีสิทธิฟ้องคดีขอให้ศาลเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ได้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ และถึงแม้ว่าจะไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่า ได้รับแจ้งเมื่อใด แต่ก็พอจะพิจารณาได้ว่าได้รับแจ้งอย่างเร็วที่สุด คือวันที่ 21 พฤษภาคม 2552 ซึ่งเป็นวันที่ลงในหนังสือแจ้งผล และถือว่าผู้ฟ้องคดีรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์อย่างเร็วที่สุดในวันที่ 21 พฤษภาคม 2552 การที่ผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องต่อศาลในวันที่ 17 สิงหาคม 2552 จึงเป็นการยื่นฟ้องภายในระยะเวลาการฟ้องคดีตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 "
กล่าวโดยสรุป การฟ้องคดีปกครองเพิกถอนกฎ ไม่ต้องมีการยื่นอุทธรณ์ ส่วนการฟ้องเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการแก้ไขความเดือดร้อนของเรื่องนั้นก่อน นั่นคือต้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองนั้นก่อนเสมอ ยื่นแล้วก็นับเวลาฟ้องคดีได้ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งตามแนวคำสั่งและคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว สามารถนำมาเป็นแนวทางในการนับระยะเวลายื่นฟ้องได้
************************
ขอขอบคุณ
๑.บทความ "กำหนดเวลาฟ้องเพิกถอน ข้อบัญญัติท้องถิ่น" ของนางณัฐท์เนตร เศวตอริยพงษ์ เจ้าหน้าที่ศาลปกครองชำนาญการพิเศษ และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่เผยแพร่ทางเว็บไซด์ http://www.admincourt.go.th
๒.ภาพจากเว็บไซด์ https://www.freepik.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น