บทความโดยก้องทภพ แก้วศรี
การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ กับภาคเอกชน ตามสัญญาจะมีการกำหนดค่าปรับสำหรับการไม่ปฏิบัติตามสัญญาไว้ เงื่อนไขในการปรับเป็นไปตามสัญญาที่กำหนด แต่ที่จะเป็นปัญหาก็คือ คู่สัญญา มักจะส่งมอบงานล่าช้าหรือไม่ปฏิบัติตามสัญญา ทำให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นคู่สัญญา จะต้องดำเนินการปรับตามสัญญา
การปรับตามสัญญา เป็นไปตามข้อกฎหมาย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 183 ที่ระบุว่า ข้อ 183 นอกจากการบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลงตามมาตรา 103 หากปรากฏว่าคู่สัญญา ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงได้ และจะต้องมีการปรับตามสัญญาหรือข้อตกลงนั้น หากจำนวนเงินค่าปรับจะเกินร้อยละสิบของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้าง ให้หน่วยงานของร้ฐพิจารณา ดำเนินการบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง เว้นแต่คู่สัญญาจะได้ยินยอมเสียค่าปรับให้แก่หน่วยงานของรัฐ โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้เท่าที่จำเป็น
คู่สัญญามักฟ้องเรียกค่าปรับเกินร้อยละ10 คืนพร้อมอัตราดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และศาลจะวินิจฉัยให้คืนค่าปรับที่เกินร้อยละ 10 ของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้าง พร้อมดอกเบี้ยเสมอ ในส่วนดอกเบี้ยจึงเป็นส่วนที่ราชการเสียหาย ที่จะต้องมาดำเนินการไล่เบี้ยเอากับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
แสดงให้เห็นว่าภาคเอกชนที่เป็นคู่สัญญา เห็นช่องทางเรียกร้องค่าปรับเกินร้อยละ10 คืนจากหน่วยงานของรัฐที่เป็นคู่สัญญา พร้อมดอกเบี้ยในจำนวนเงินดังกล่าว จึงปล่อยให้มีการปรับและทำการส่งมอบล่าช้า ไม่เป็นไปตามสัญญาต่อไป
ปกติในการปฏิบัติตามสัญญาของภาครัฐ จะดำเนินการปรับตามสัญญา และเมื่อจะเกินร้อยละ 10 ของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้าง ที่ทำให้มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ภาครัฐที่เป็นคู่สัญญาจะมีหนังสือแจ้งปรับไปยังคู่สัญญาที่เป็นภาคเอกชน แต่คู่สัญญาจะไม่ตอบรับหนังสือของภาครัฐใดๆ ทั้งสิ้น และปล่อยให้ปรับต่อไป โดยจะทยอยส่งมอบหรือดำเนินการตามสัญญาให้แล้วเสร็จ แต่มีความล่าช้ากว่ากำหนดมากหรือล่าช้ากว่ากำหนดเสมอ ทำให้จำนวนเงินค่าปรับสูงเกินกว่าร้อยละ10 ของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างมากๆ
เมื่อเป็นคดี ภาครัฐจะ นำสืบว่าต่อสู้ว่า คำนวณค่าปรับถูกต้องตามสัญญาซื้อพิพาทข้อ 10 ข้อ11 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 183 แล้ว แม้การคิดค่าปรับสำหรับสัญญาซื้อขายพิพาทบางสัญญามีการคิดค่าปรับเกินกว่าร้อยละ10 ของวงเงินราคาสินค้าตามสัญญาก็ตาม ก็มีสิทธิเรียกร้องหรือคิดค่าปรับเกินกว่าร้อยละ 10 ของวงเงินราคาสินค้าตามสัญญาได้ โดยเป็นดุลพินิจที่ จะเรียกร้องค่าปรับเกินกว่าร้อยละ10 ดังกล่าว หรือบอกเลิกสัญญา ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบกระทรวงการคลังดังกล่าวข้อ 183 จึงมีหนังสือแจ้งจำนวนค่าปรับให้ทราบแล้ว คู่สัญญาอีกฝ่ายยังคงส่งมอบสินค้าครุภัณฑ์ต่อไป อันแสดงให้เห็นว่ายินยอมให้เรียกร้องค่าปรับ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ การคิดคำนวณค่าปรับตามสัญญาซื้อขายจึงถูกต้องแล้ว
การตีความการปฎิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 183 ที่ระบุว่า "นอกจากการบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลงตามมาตรา 103 หากปรากฏว่าคู่สัญญา ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงไ้ด และจะต้องมีการปรับตามสัญญาหรือข้อตกลงนั้น หากจำนวนเงินค่าปรับจะเกินร้อยละสิบของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้าง ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณา ดำเนินการบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง เว้นแต่คู่สัญญาจะได้ยินยอมเสียค่าปรับให้แก่หน่วยงานของรัฐ โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้เท่าที่จำเป็น"
คำว่า " หากจำนวนเงินค่าปรับจะเกินร้อยละสิบของวงเงินค่าพัสดหรือค่าจ้าง ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณา ดำเนินการบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง " เป็นข้อกฎหมายที่หน่วยงานต้องดำเนินการบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง ไม่ใช่ดุลพินิจในการเลือกว่าจะไม่บอกเลิกสัญญา แต่จะทำการปรับต่อไป
คำว่า " เว้นแต่คู่สัญญาจะได้ยินยอมเสียค่าปรับให้แก่หน่วยงานของรัฐ โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้เท่าที่จำเป็น" เป็นข้อกฎหมายที่ให้หน่วยงานรัฐที่จะผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อคู่สัญญาจะได้ยินยอมเสียปรับให้แก่หน่วยงานของรัฐโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ
แต่ด้วยวิธีใดที่จะแสดงให้เห็นว่าคุ่สัญญาอีกฝ่ายยินยอมให้ปรับโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ที่จะมีผลทางกฎหมาย ดังนั้น การที่หน่วยงานของรัฐที่เป็นคู่สัญญาจะมีหนังสือแจ้งปรับไปยังคู่สัญญา แต่คู่สัญญามักจะไม่ตอบรับหนังสือของภาครัฐใดๆ ทั้งสิ้น และปล่อยให้ปรับต่อไป โดยจะทยอยส่งมอบหรือดำเนินการตามสัญญาให้แล้วเสร็จ แต่มีความล่าช้ากว่ากำหนดมากหรือล่าช้ากว่ากำหนดเสมอ ทำให้จำนวนเงินค่าปรับสูงเกินกว่าร้อยละ10 ของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างมากๆ และยอมรับการชำระราคาสินค้าตามจำนวนหลังจากหักชำระค่าปรับแล้ว แล้วนำเรื่องไปฟ้องเป็นคดีต่อศาลเเพื่อขอคืนค่าปรับส่วนที่เกินร้อยละ 10 พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งถือเป็นช่องทางที่คู่สัญญาอีกฝ่ายปฎิบัติล่าช้าได้ โดยเสียค่าปรับตามสัญญาแค่ร้อยละ 10 ของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้าง
มีหนังสือแจ้งปรับไปยังคู่สัญญา แต่คู่สัญญามักจะไม่ตอบรับหนังสือของภาครัฐใดๆ ทั้งสิ้น และปล่อยให้ปรับต่อไป โดยจะทยอยส่งมอบหรือดำเนินการตามสัญญาให้แล้วเสร็จ กรณีเช่นนี้ยังไม่ถือว่าคู่สัญญายินยอมให้ปรับโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ควรจะต้องไม่ตรวจรับการส่งมอบล่าช้า ภายหลังดำเนินการปรับจะเกินร้อยละ 10 ของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้าง หากจะทำการตรวจรับ จะต้องแจ้งให้คู่สัญญาอีกฝ่ายมาทำหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับผิดเป็นสำคัญ ยินยอมให้ปรับเกินร้อยละ10 ของจำนวนเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ หรือควรกำหนดไว้ในสัญญาตามข้อความดังกล่าว ก็จะเป็นผลไม่ต้องตีความ
ซึ่งเมื่อหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้ดำเนินการตามที่ระบุข้างต้นแล้ว ในการปรับเกินร้อยละ10ของวงเงินพัสดุหรือค่าจ้าง หากคู่สัญญาอีกฝ่ายนำคดีขึ้นสู่ศาล เพื่อขอคืนค่าปรับเกินร้อยละ10ของวงเงินพัสดุหรือค่าจ้าง พร้อมดอกเบี้ย ก็จะมีข้อต่อสู้ที่ยกขั้นอ้างในศาลพิจารณาได้อยางมีน้ำหนัก ที่จะเป็นหนทางให้หน่วยงานของรัฐชนะคดีได้ โดยไม่ต้องคืนค่าปรับส่วนที่ปรับเกินร้อยละ10 ของวงเงินพัสดุหรือค่าจ้างได้ หรือ แม้ภายหลังจะแพ้คดีต้องคืนเงินค่าปรับเกินร้อยละ10ของวงเงินพัสดุหรือค่าจ้าง พร้อมดอกเบี้ย อย่างน้อยในการไล่เบี้ย เพื่อหาผู้รับผิดทางละเมิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติตามสัญญา และต้องดำเนินการปรับ จะไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ในจำนวนดอกเบี้ยของค่าปรับส่วนที่เกินร้อยละ10 ดังกล่าว เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงแต่อย่างใด
ก็เป็นความเห็นของผู้เขียนครับ แนวปฏิบัติตามความเห็นของผู้เขียน หากจะนำไปใช้ควรหารือไปยังหน่วยงานต้นสังกัดก่อนดำเนินการครับ โดยเฉพาะในส่วนของสัญญาควรหารือว่าจะเพิ่มข้อความดังกล่าวเข้าไปได้หรือไม่อย่างไร
.jpg)
.jpg)