บทความโดย นายก้องทภพ แก้วศรี
ทุจริตอาหารกลางวัน วินัยไล่ออก อาญาติดคุก เป็นชื่อบทความที่จะนำเสนอ เกี่ยวข้องกับการดำเนินการอาหารกลางวันของสถานศึกษาของรัฐ โดยกล่าวถึงเฉพาะในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ได้รับงบประมาณอุดหนุนจากทางราชการเป็นค่าอาหารกลางวันนักเรียนในแต่ละวัน ซึ่งปรากฏเป็นข่าวการทุจริตของผู้บริหารสถานศึกษาอยู่เป็นเนื่องๆ ซึ่งบริบทของการกระทำความผิดและผู้กระทำผิด อาจไม่ใช่แค่ผู้บริหารสถานศึกษาเพียงคนเดียว จะต้องมีผู้เกี่ยวข้องกับการดำเนินการเหล่านั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เจ้าหน้าที่พัสดุ เจ้าหน้าที่การเงิน ผู้รับผิดชอบโครงการอาหารกลางวัน กรรมการชุดต่างๆ ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการอาหารกลางวัน
อาหารกลางวัน เกี่ยวข้องกับการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ เป็นการดำเนินการของสถานศึกษาที่เป็นโรงเรียนของภาครัฐ ที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ได้รับงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนอาหารกลางวันจากราชการ มีรายละเอียด ดังนี้
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
และคณะรัฐมนตรีมีมติ เห็นชอบปรับเพิ่มค่าอาหารกลางวันของนักเรียนแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่
โรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน 1 – 40 คน ได้รับเงินค่าอาหารกลางวัน ในอัตรา 36 บาท/คน/วัน
โรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน 41 – 100 คน ได้รับเงินค่าอาหารกลางวัน ในอัตรา 27 บาท/คน/วัน
โรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน 101 – 120 คน ได้รับเงินค่าอาหารกลางวัน ในอัตรา 24 บาท/คน/วัน
และโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน 121 คนขึ้นไป ได้รับเงินค่าอาหารกลางวัน ในอัตรา 22 บาท/คน/วัน
ต่อมาวันที่ 26 มีนาคม 2567 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำเสนอ ขอความเห็นชอบอนุมัติงบประมาณอุดหนุนค่าอาหารกลางวันของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 ในโรงเรียนขยายโอกาส และคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบค่าอาหารกลางวันของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 ในโรงเรียนขยายโอกาส ในอัตราเดียวกัน (ที่มาคู่มือการดำเนินงานโครงการอาหารกลางวัน ประจำปีการศึกษา พ.ศ.2567 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน)
ในส่วนของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีคู่มือการดำเนินงานโครงการอาหารกลางวัน ประจำปีการศึกษา พ.ศ.2567 ซึ่งจัดทำไว้เพื่อให้สถานศึกษาในสังกัดใช้เป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินการ ซึ่งระบุไว้ว่า "แนวทางการจัดหาอาหารกลางวัน การใช้จ่ายเงินเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน โดยใช้เงินอุดหนุนทั่วไปและเงินนอก งบประมาณ ประเภทเงินรายได้สถานศึกษาเพื่อโครงการอาหารกลางวันมีแหล่งที่มาของเงิน 2 ประเภท คือ เงินงบประมาณ หมวดเงินอุดหนุน (โรงเรียนได้รับจากองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ตามขนาดของโรงเรียน) และเงินนอกงบประมาณ ได้แก่ เงินรายได้สถานศึกษาเพื่อ โครงการอาหารกลางวัน โดยโรงเรียนสามารถนำมาจัดอาหารกลางวันให้นักเรียนได้รับประทาน ตาม วิธีการจัดหาอาหารกลางวัน 3 วิธี ดังนี้
1 กรณีการจัดซื้อวัตถุดิบเพื่อใช้ในการประกอบอาหาร ครูผู้รับผิดชอบโครงการอาหารกลางวัน จัดทำรายการอาหารกลางวัน เป็นรายสัปดาห์ รายเดือน หรือรายภาคเรียน ก็ได้ จัดทำประมาณการวัตถุดิบ และคุณลักษณะเฉพาะของวัตถุดิบ โดยคำนึงถึง คุณค่าทางอาหารหรือโภชนาการที่จำเป็น ตามรอบการจัดซื้อ จัดทำรายงานขอซื้อ ใบจัดซื้อวัสดุเครื่องบริโภค วงเงินไม่เกิน 500,000 บาท เสนอผู้อำนวยการโรงเรียนอนุมัติรายการขอซื้อ ผู้รับผิดชอบโครงการอาหารกลางวันจัดทำใบสั่งซื้อวัตถุดิบ กรณีวงเงินเกินกว่า 500,000 บาท ในกรณีที่ระบุวงเงินค่าจัดซื้อวัตถุดิบเพื่อใช้ในการประกอบอาหารเกินกว่า 500,000 บาท จะจัดซื้อเป็นรายภาคเรียน หรือเป็นรายปีงบประมาณ/รายปีการศึกษา ก็ได้ โดยให้ ดำเนินการจัดซื้อตามวิธีการที่กำหนดในมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและ การบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560
(1) ครูผู้รับผิดชอบโครงการอาหารกลางวัน จัดทำรายการอาหารกลางวัน เป็นราย
สัปดา์ห์ รายเดือน รายภาคเรียน หรือเป็นรายปีงบประมาณ/รายปีการศึกษา ก็ได้
(2) จัดทำประมาณการวัตถุดิบ และคุณลักษณะเฉพาะของวัตถุดิบ โดยคำนึงถึง
คุณค่าทางอาหารหรือคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นต่อการพัฒนาด้านร่างกายของผู้บริโภคอาหาร
ในแต่ละวันด้วย ตามรอบการจัดซื้อ ทั้งนี้ โดยจะจัดซื้อ เป็นรายสัปดาห์ รายเดือน รายภาคเรียน หรือ
เป็นรายปีงบประมาณ/รายปีการศึกษา ก็ได้
(3) จัดทำรายงานขอซื้อ โดยใช้วิธีประกาศเชิญชวน ประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) หรือวิธีคัดเลือก
(4) เสนอผู้อำนวยการโรงเรียนอนุมัติรายการขอซื้อ ตามแบบในระบบจัดซื้อจัดจ้าง
ภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP)
(4) ผู้รับผิดชอบโครงการอาหารกลางวันจัดทำใบสั่งซื้อ ตามแบบในระบบจัดซื้อจัดจ้าง
ภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP)
การกำหนดราคากลาง
ให้ใช้วงเงินประมาณการที่จะจัดซื้อซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวอาหารกลางวันเป็น
ราคากลาง ตามนิยามคำว่า “ราคากลาง” (6) ราคาอื่นใดตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือแนวทางปฏิบัติ
ของหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ ตามนัยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหาร
พัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
การตรวจรับพัสดุ
ให้ผู้อำนวยการโรงเรียนดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับพัสดุหรือผู้ตรวจรับพัสดุ เพื่อทำหน้าที่ ตรวจรับวัตถุดิบเพื่อใช้ในการประกอบอาหารในการส่งมอบทุกครั้ง โดยให้จัดทำรายงานผลการ ตรวจรับเสนอหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ เป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน ตามความเหมาะสม แล้วแต่กรณี - ประธานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุอาจมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งคน ใดทำหน้าที่ตรวจรับพัสดุเบื้องต้นในแต่ละครั้งที่มีการส่งมอบก็ได้ และให้กรรมการผู้ทำหน้าที่ เป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบและควบคุมรายการอาหารให้เป็นไปตามรายการอาหารที่กำหนดไว้ใน ขอบเขตของงาน โดยจัดทำเป็นบันทึกการตรวจรับและรวบรวมเสนอต่อคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ในแต่ละครั้ง โดยให้รวบรวมและส่งมอบให้เจ้าหน้าที่พัสดุเก็บรวบรวมและเสนอต่อคณะกรรมการ ตรวจรับพัสดุเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน ตามความเหมาะสมแล้วแต่กรณี
(2) แต่งตั้งผู้ควบคุมรับผิดชอบในการประกอบอาหารนั้น และแต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจการประกอบอาหาร ตามนัยข้อ 18 ของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วย การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 โดยผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งต้องจัดทำเป็นบันทึก และรวบรวมเสนอต่อผู้อำนวยการโรงเรียนเพื่อทราบเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือนตามความเหมาะสม แล้วแต่กรณ
2.กรณีการจ้างบุคคลเพื่อประกอบอาหาร กรณีการจ้างบุคคลเพื่อประกอบอาหารให้เจ้าหน้าที่จัดทำรายงานขอจ้างเสนอ หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ ตามนัยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและ การบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 22 วรรคหนึ่ง โดยให้ถือว่ารายงานขอจ้างดังกล่าวเป็นรายงาน ขอจ้างบุคคลเพื่อการประกอบอาหารในแต่ละครั้ง ตลอดการจัดจ้าง โดยให้ดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจงตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) (ข) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหาร พัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งจะจัดจ้างเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน รายภาคเรียน หรือรายปีงบประมาณ /รายปีการศึกษา ก็ได
(1) กำหนดคุณสมบัติของผู้รับจ้าง/TOR ซึ่งจะจัดจ้างเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน
รายภาคเรียน หรือรายปีงบประมาณ/รายปีการศึกษา ก็ได้ ตามแบบที่แนบในภาคผนวก ค ขอบเขต
ของงาน (TOR) การจ้างบุคคลเพื่อประกอบอาหารกลางวัน
(2) จัดทำรายงานขอจ้าง (วิธีเฉพาะเจาะจง) เสนอผู้อำนวยการโรงเรียนอนุมัติรายการขอจ้าง
(3) ผู้รับผิดชอบโครงการอาหารกลางวันจัดทำใบสั่งจ้าง/ข้อตกลง การกำหนดราคากลาง
ให้ใช้วงเงินประมาณการที่จะจัดซื้อซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวอาหารกลางวันเป็น
ราคากลาง ตามนิยามคำว่า “ราคากลาง”
(4) ราคาอื่นใดตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือแนวทางปฏิบัติ
ของหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ ตามนัยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหาร
พัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560
การตรวจรับพัสดุ
(1) ให้ผู้จัดซื้อวัตถุดิบส่งมอบวัตถุดิบเพื่อใช้ในการประกอบอาหาร พร้อมรายการ
ของเมนูอาหารที่จะต้องประกอบอาหารในแต่ละวันให้กับผู้จ้าง
(2) ให้ผู้อำนวยการโรงเรียน ดำเนินการดังต่อไปนี้
- แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับพัสดุหรือผู้ตรวจรับพัสดุ เพื่อทำหน้าที่ ตรวจรับวัตถุดิบเพื่อใช้ในการประกอบอาหารในการส่งมอบทุกครั้ง โดยให้จัดทำรายงานผล การตรวจรับเสนอหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ เป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน ตามความเหมาะสม แล้วแต่กรณี - ประธานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุอาจมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่ง คนใดทำหน้าที่ตรวจรับพัสดุเบื้องต้นในแต่ละครั้งที่มีการส่งมอบก็ได้ และให้กรรมการผู้ทำหน้าที่เป็น ผู้ดำเนินการตรวจสอบและควบคุมรายการอาหารให้เป็นไปตามรายการอาหารที่กำหนดไว้ในขอบเขต ของงาน โดยจัดทำเป็นบันทึกการตรวจรับและรวบรวมเสนอต่อคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ในแต่ละครั้ง โดยให้รวบรวมและส่งมอบให้เจ้าหน้าที่พัสดุเก็บรวบรวมและเสนอต่อคณะกรรมการ ตรวจรับพัสดุเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน ตามความเหมาะสมแล้วแต่กรณี
3 การจ้างเหมาประกอบอาหาร (ปรุงสำเร็จ) ในกรณีที่ระบุวงเงินการจ้างเหมาประกอบอาหาร (ปรุงสำเร็จ) ไม่เกิน 500,000 บาท ให้ถือว่ารายงานขอจ้างดังกล่าวเป็นรายงานขอจ้างเหมาประกอบอาหาร (ปรุงสำเร็จ) สำหรับการจัดจ้างในแต่ละครั้ง ตลอดระยะเวลาการจ้างเหมาประกอบอาหาร (ปรุงสำเร็จ) เมื่อการจ้างเหมาประกอบอาหาร (ปรุงสำเร็จ) มีวงเงินสะสมครบหรือใกล้ัจะครบวงเงินดังกล่าวข้างต้น ให้เจ้าหน้าที่จัดทำรายงานขอจ้างฉบับใหม่ ทั้งนี้ โดยจะจัดจ้างเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน หรือ รายภาคเรียน ก็ได้
(1) ครูผู้รับผิดชอบโครงการอาหารกลางวัน จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ
กำหนดคุณลักษณะเฉพาะ และขอบเขตของงาน (TOR)
(2) กำหนดคุณลักษณะเฉพาะ และขอบเขตของงาน (TOR) ทั้งนี้
โดยจะจัดจ้างเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน หรือรายภาคเรียน ก็ได้
(3) จัดทำรายงานขอจ้าง การจ้างเหมาประกอบอาหารกลางวัน (ปรุงสำเร็จ) เสนอผู้อำนวยการโรงเรียนอนุมัติรายการขอจ้าง
(5) ผู้รับผิดชอบโครงการอาหารกลางวันจัดทำใบสั่งจ้างตามแบบ
กรณีวงเงินเกินกว่า 500,000 บาท ในกรณีที่ระบุวงเงินการจ้างเหมาประกอบอาหาร (ปรุงสำเร็จ) เกินกว่า 500,000 บาท โดยจะจัดจ้างเป็นรายเดือน รายภาคเรียน หรือเป็นรายปีงบประมาณ/รายปีการศึกษา ก็ได้ โดยให้ ดำเนินการจัดจ้างตามวิธีการที่กำหนดในมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและบริหาร พัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
(1) ครูผู้รับผิดชอบโครงการอาหารกลางวัน จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ
กำหนดคุณลักษณะเฉพาะ และขอบเขตของงาน (TOR)
(2) กำหนดคุณลักษณะเฉพาะ และขอบเขตของงาน (TOR) โดยจะจัดจ้าง
เป็นรายเดือน รายภาคเรียน หรือเป็นรายปีงบประมาณ/รายปีการศึกษา ก็ได้
(3)จัดทำรายงานขอจ้าง โดยใช้วิธีประกาศเชิญชวน ประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) หรือวิธีคัดเลือก
(4) เสนอผู้อำนวยการโรงเรียนอนุมัติรายการขอจ้างตามแบบในระบ
จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP)
(4) ผู้รับผิดชอบโครงการอาหารกลางวันจัดทำใบสั่งจ้างตามแบบในระบบ
จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP)
ในการบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อ
นักเรียนมากที่สุด โรงเรียนควรคำนึงถึงประเด็น การประเมินคุณภาพอาหาร ต้องจัดให้มี
การสุ่มตรวจเพื่อประเมินคุณภาพอาหาร ของนักเรียนเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน โดยคำนึงถึง
คุณค่าถูกสุขลักษณะ ทางโภชนาการที่เหมาะสมตามช่วงวัย และความคุ้มค่า การกำหนดราคากลาง
ให้ใช้วงเงินประมาณการที่จะจัดซื้อซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวอาหารกลางวันเป็น
ราคากลาง ตามนิยามคำว่า “ราคากลาง”
(5) ราคาอื่นใดตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือแนวทางปฏิบัติ
ของหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ ตามนัยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหาร
พัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
การตรวจรับพัสดุ
(1) ให้เจ้าหน้าที่แจ้งรายการอาหารให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อดำเนินการประกอบ
อาหาร (ปรุงสำเร็จ) ก่อนถึงวันประกอบอาหาร (ปรุงสำเร็จ) อย่างน้อย 5 วันทำการ
(2) ให้ผู้อำนวยการโรงเรียนแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งเพื่อทำหน้าที่
ในการตรวจรับพัสดุ โดยให้รวบรวมและส่งมอบให้เจ้าหน้าที่พัสดุเก็บรวบรวมและเสนอต่อ
คณะกรรมการตรวจรับพัสดุเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน ตามความเหมาะสมแล้วแต่กรณี
(3) ในกรณีการจัดจ้างครั้งหนึ่งมีวงเงินไม่เกินหนึ่งแสนบาท จะมอบหมาย
ให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป์นผู้ตรวจรับพัสดุก็ได้ อนึ่ง การแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ของโรงเรียนหรือสถานศึกษา ให้มีกรรมการบุคคลอื่น เช่น ผู้ปกครองนักเรียนหรือสมาคมผู้ปกครอง
เป็นต้น เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย
จากแนวทางการดำเนินการโครงการอาหารกลางวันตามคู่มือการดำเนินงานโครงการอาหารกลางวัน ประจำปีการศึกษา พ.ศ.2567 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะเกี่ยวข้องกับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดสถานศึกษานั้นหลายคน ไม่ใช่เฉพาะผู้บริหารสถานศึกษา ดังนั้น เมื่อมีกรณีการทุจริตอาหารกลางวันในสถานศึกษาแห่งนั้นๆ ผู้บริหารสถานศึกษา อาจไม่ใช่ผู้กระทำผิดคนเดียว จะต้องมีข้าราชการครูที่เข้าข่ายกระทำผิดทุจริตอาหารกลางวันนั้นด้วย นั่นคือ ครูผู้รับผิดชอบโครงการอาหารกลางวัน ครูผู้ทำหน้าที่ตรวจรับพัสดุอหารกลางวันในแต่ละวัน ครูผู้ทำหน้าที่เจ้าพัสดุ และครูผู้ทำหน้าที่การเงินที่ดำเนินการจ่ายเงิน
การทุจริตอาหารกลางวัน ที่ปรากฎ มีหลายรูปแบบ เช่น การหักเงินอาหารกลางวันไว้บางส่วนโดยอ้างว่าไว้ใช้ในการบริหารจัดการสถานศึกษา หรือไว้ใช้จ่ายส่วนตัว หรือกรณีตกลงจ้างเหมาประกอบอาหารราคาหนึ่ง เบิกจ่ายเงินตามราคาจ้างเหมา แต่จ่ายผู้รับจ้างจริงไม่เป็นไปตามราคาที่จ้างเหมา จนมีผลกระทบต่อผู้รับจ้างเหมา ทำให้ต้องลดคุณภาพอาหารและปริมาณลง หรือกรณีไม่มีการประกอบอาหารกลางวันในวันใด แต่สมอ้างว่ามีการประกอบอาหารในวันนั้น โดยมีการจัดทำเอกสารปลอมโดยมีลายมือชื่อผู้เกี่ยวข้องลงนามรับรองข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จ เพื่อสร้างหลักฐานการเบิกจ่ายเงินในวันที่ไม่มีการประกอบอาหาร หรือเรียกรับเงินจากผู้รับจ้าง จนผู้รับจ้าง ประกอบอาหารไม่มีคุณภาพ ปริมาณน้อย หรือกรณีประกอบอาหารไม่ตรงกับรายการอาหารที่ทำไว้ในแต่ละวันแต่ละสัปดาห์ แต่ถ่ายรูปรายการอาหารครบตามรายการ เพื่อรายงานการดำเนินการอาหารกลางวันแต่ละวันอันเป็นเท็จ และเทำเอกสารเท็จบิกจ่ายเงินค่าอาหารกลางวันเต็มตามรายการ หรือกรณีทำสัญญาจ้างเหมาประกอบอาหาร แต่ผู้บริหารสถานศึกษา เอาไปดำเนินการเองทั้งหมด โดยให้ผู้รับจ้างเหมาลงชื่อรับเงินค่าจ้างตามสัญญา แต่ตามข้อเท็จจริงจ่ายแค่บางส่วน เพื่อสร้างพยานหลักฐาน เป็นต้น
การทุจริตอาหารกลางวัน เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งความผิดทุจริตต่อหน้าที่ราชการ มีมติคณะรัฐมนตรี ตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0205/ว 234 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2536 ให้ลงโทษไล่ออกจากราชการ การนำเงินมาคืนหรือมีเหตุอันควรปราณีอื่นใด ไม่เป็นเหตุลดหย่อนโทษเป็นปลดออกจากราชการ เมื่อมีกรณีการร้องเรียนทุจริตอาหารกลางวัน จึงต้องสอบสวนข้าราชการและบุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกคน
นอกจากเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงแล้ว ผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ถือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจตามกฎหมาย จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาในบทความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการด้วย ซึ่งมีอัตราโทษหนักทั้งจำคุกและปรับ โดยเจ้าหน้าที่ที่กระทำการทุจริตอาหารกลางวัน จะมีความผิดตามมประมวลกฎหมายอาญา ที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 147 ที่บัญญัติว่า " ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท" มาตรา 151 ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท"
ความผิดอาญาตามมาตราดังกล่าวมีอัตราโทษหนัก การทุจริตอาหารกลางวัน 1 วัน เท่ากับเป็นการกระทำผิดาอาญา 1 กรรมผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องรับโทษตามกฎหมายบทหนักสุด แต่ถ้าทำทุจริตต่อเนื่องมาหลายวัน หลายสัปดาห์และหลายปี ก็จะเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน โทษที่จะได้รับก็จะเป็นการรับโทษทุกกรรมทุกกระทงความผิด ซึ่งจะได้รับโทษจำคุกรวมกันได้ถึงหลายร้อยปี ในกรณีเช่นนี้ มีตัวอย่างการลงโทษในความผิดเดียวกัน ที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกผู้กระทำผิดเป็นร้อยปีในความผิดดังกล่าวมาแล้ว แม้ตามบทกฎหมายอาญา จะบัญญัติให้รับโทษจำคุกทุกกระทงรวมกันแล้ว สูงสุดได้ไม่เกินกำหนดห้าสิบปี สำหรับการกระทำความผิดที่มีอัตราโทษหนักสุดจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นอัตราโทษจำคุกที่หนัก สำหรับข้าราชการที่มีอายุ 30 -60 ปี ที่ต้องใช้ชีวิตในช่วงแก่ชราในเรือนจำไปอีก 50 ปี เลยทีเดียว
นอกจากการกระทำดังกล่าวจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตด้วย
นอกจากนี้การกระทำทุจริตอาหารกลางวัน ถือเป็นการกระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐโดยการจงใจกระทำ ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ซึ่งจะต้องมีการสอบข้อเท็จจริงความผิดทางละเมิดเพื่อหาจำนวนความเสียหาย ผู้ต้องรับผิดชอบชดใช้ และจำนวนที่ต้องชดใช้ ถ้าไม่ชดใช้ ก็จะต้องดำเนินการสืบหาหลักทรัพย์ และดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าวตามกฎหมายต่อไป
เช่น คดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติครั้งที่ 71/2564 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 พิจารณาเรื่องกล่าวหาผู้อำนวยการโรงเรียน...สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา...กับพวก ทุจริตค่าอาหารนักเรียนคนละ 20 บาท แต่จ่ายค่าจ้างประกอบอาหารให้ผู้รับจ้างในอัตรานักเรียนคนละ 14 บาท ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อท 197/2566 คดีหมายเลขแดงที่ อท61/2567 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตารา 147 (เดิม).151(เดิม).162(4)(เดิม) พรบ.ปปช.พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบ พรบ.ปปช.พ.ศ.2561 มาตรา 172 เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 151 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักสุด จำคุกจำเลยที่ 1 ตามฟ้องกระทงละ 5 ปี รวม 50 กระทงรวมจำคุก 250 ปี จำเลยที่ 1 ให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม จำคุก 150 ปี 200เดือน แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุก 50 ปี ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือชดใช้เงินแก่เทศบาล...จำนวน 596,028 บาท จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายระหว่างพิจารณาคดีของศาล ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ
การป้องกันการกระทำผิดดังกล่าว ทำได้โดยผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาแห่งนั้นๆ จะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต รักษาประโยชน์ของทางราชการ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่แสวงหาประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ จะต้องดำเนินการจัดทำอาหารกลางวันตามรูปแบบหลักเกณฑ์วิธีการที่ราชการกำหนดไว้ตามกฎหมาย คำนึงถึงคุณภาพ ปริมาณอาหารตามที่กำหนดไว้ โดยจัดทำอาหารให้มีคุณภาพ ปริมาณที่เหมาะสมกับการส่งเสริมการเจริญเติบโตของนักเรียน
หากข้าราชกาครูและบุคลากร ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ ไม่ร่วมมือกระทำความผิดทุจริตอาหารกลางวันร่วมกับผู้บริหารสถานศึกษา การทุจริตอาหารกลางวันในสถานศึกษาจะเกิดขึ้นได้น้อยลง หรืออาจไม่เกิดขึ้นได้เลย ถ้าเป็นการอ้างว่า ต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ต้องพิจารณาว่าคำสั่งนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เช่น ให้ลงชื่อตรวจรับโดยไม่มีการประกอบอาหารกลางวัน หรือรายการอาหารไม่ตรงกับข้อเท็จจริง หรือมีคุณภาพ ปริมาณไม่เป็นตามการจ้าง เป็นต้น คำสั่งเหล่านี้ ยอมเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องทำการโต้แย้งเป็นหนังสือให้ผู้บริหารสถานศึกษาทราบ หากโต้แย้งแล้ว ผู้บริหารสถานศึกษายังคงยืนยันให้ลงลายมือชื่อตรวจรับเท็จ ย่อมเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่อาจลงลายมือชื่อตรวจรับเท็จ ในเอกสารนั้นได้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ถือว่าเป็๋นการกระทำผิดวินัยฐานขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และเพื่อเป็นการป้องกันการกระทำผิดตามตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ก็สามารถนำข้อเท็จจริงและหลักฐานแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปรามการทุจริตได้ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 134 ที่บัญญัติว่า "ในกรณีที่เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเพราะ ถูกผู้บังคับบัญชาสั่งการให้ทำ ถ้าได้ทำหนังสือโต้แย้งหรือให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำสั่งหรือให้ยืนยันคำสั่งแล้ว หรือได้แจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบถึงเบาะแส ข้อมูล หรือข้อเท็จจริงภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้กระทำการนั้น ให้เจ้าพันกงานของรัฐผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ "
ดังนั้น บทสรุปของการกระทำทุจริตอาหารกลางวันย่อมต้องรับโทษทางวินัยไล่ออกจากราชการ มีความผิดอาญาที่ต้องถูกลงโทษจำคุกและปรับ และต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐ ซึ่งล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิต จิตใจเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้น เพื่อป้องกันการทุจริต ต้องไม่กระทำทุจริต และต้องไม่ให้ความร่วมมือในการทจุริต หากพบเห็นการทุจริตอาหารกลางวัน ก็อย่าได้นิ่งเฉยเสีย อย่าทนให้คนทุจริตมีตำแหน่งหน้าที่ เชิดหน้าชูตาในหน้าที่ในราชการ เพราะการทุจริตจนเป็นนิสัยสร้างความเสียหายให้แก่ราชการและประเทศชาติมากมาย
3.คู่มือการดำเนินงานโครงการอาหารกลางวัน ประจำปีการศึกษา พ.ศ.2567 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น