วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2568

เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการอันเป็นเท็จ วินัยไล่ออก อาญาจำคุก

 บทความโดยนายก้องทภพ  แก้วศรี


            บทความนี้เรื่อง  เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการอันเป็นเท็จ วินัยไล่ออก อาญาจำคุก ก็เป็นบทความที่อยากจะเตือนสติผู้ต้องใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านราชการ ซึ่งเป็นสิทธิสวัสดิการที่ข้าราชการได้รับโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การใช้สิทธิเบิกก็ต้องมีข้อเท็จจริงตรงตามที่กฎหมายระบุด้วย จะมีส่วนที่เป็นเท็จไม่ได้ จะมีผลถึงการถูกดำเนินการทางวินัย ถูกดำเนินคดีอาญา และต้องชดใช้เงินที่เบิกเป็นเท็จนั่นคืนด้วย

            กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือ พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ.2547และที่แก้ไขเพิ่มเติม  โดยมาตรา 7 บัญญัติไว้ว่า " ข้าราชการผู้ใดได้รับคําสั่งให้เดินทางไปประจําสํานักงานในต่างท้องที่มี สิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการเท่าที่ต้องจ่ายจริงตามที่สมควรแก่สภาพแห่งบ้าน แต่อย่างสูงไม่เกิน จํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ ทั้งนี้เว้นแต่ผู้นั้น

            (1) ทางราชการได้จัดที่พักอาศัยให้ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกําหนด
            (2) มีเคหสถานอันเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือคู่สมรสในท้องที่ที่ไปประจํา สํานักงานใหม่ โดยไม่มีหนี้ค้างชําระกับสถาบันการเงิน
            (3) ได้รับคําสั่งให้เดินทางไปประจําสํานักงานใหม่ในต่างท้องที่ตามคําร้องขอของ ตนเอง

            ในกรณีที่ข้าราชการและคู่สมรสรับราชการอยู่ในท้องที่เดียวกัน มีมาตรา 10 บัญญัติไว้ว่า " ถ้าข้าราชการและคู่สมรสรับราชการในท้องที่เดียวกันและต่างก็มีสิทธิ ได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกานี้ให้เบิกจ่ายได้เฉพาะคนใดคนหนึ่ง

            ข้าราชการผู้ใดมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกานี้และมีคู่สมรสเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานคร พนักงานส่วนท้องถิ่น หรือพนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือพนักงานหรือเจ้าหน้าที่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หรือ องค์การมหาชน ถ้าคู่สมรสของผู้นั้นได้ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน หรือข้าราชการผู้นั้นได้อยู่ในที่พักอาศัยที่ ทางราชการจัดให้แก่คู่สมรสในท้องที่เดียวกัน ข้าราชการผู้นั้นไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการตาม พระราชกฤษฎีกานี้"

              การใช้สิทธิเบิกค่าเช่าข้าราชการ ต้องเป็นการเช่าจริง และอยู่จริง ตามมาตรา 14 ที่บัญญัติว่า " ให้ข้าราชการมีสิทธิได้รับเงินค่าเช่าบ้านข้าราชการตั้งแต่วันที่ข้าราชการ ผู้นั้นได้เช่าอยู่จริง แต่ไม่ก่อนวันที่รายงานตัวเพื่อเข้ารับหน้าที่ และให้สิ้นสุดในวันที่ขาดจากอัตรา เงินเดือนหรือวันที่อยู่ในข่ายหมดสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกานี้ถ้าผู้ซึ่งได้รับ แต่งตั้งให้ไปรับราชการในท้องที่อื่นไม่สามารถออกเดินทางไปได้ในวันที่ส่งมอบหน้าที่ ให้มีสิทธิได้รับ ค่าเช่าบ้านข้าราชการต่อไปอีกไม่เกินสิบวันนับแต่วันส่งมอบหน้าที่ เว้นแต่มีความจําเป็นจะต้องอยู่ ต่อไปอีก ให้เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการต่อไปได้เท่าที่จําเป็นโดยได้รับการอนุมัติจากผู้ออกคําสั่งแต่งตั้ง"

            ช่าจริง อยู่จริง ต้องเป็นกรณีได้อาศัยอยู่จริงตามปกติวิสัยในบ้านหลังที่เช่า ไม่ใช่กรณีเช่าแล้วอยู่เพียง 2-3 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งกรณีเช่นนี้ กรมบัญชีกลาง พิจารณาแล้ว ถือว่าไม่ได้พักอาศัยอยู่จริงตามปกติวิสัยในบ้านหลังที่เช่า และไม่ได้มีความเดือดร้อนในเรื่องที่พักอาศัยในท้องที่ที่ปฏิบัติราชการ จึงไม่สามารถนำหลักฐานการชำระค่าเช่าบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านจากทางราชการได้ ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ที่ กค 0422.3/20266 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2555

            กรณีคู่สมรส หากต้องการใช้สิทธิทั้งฝ่าย ต้องไม่เข้าเงื่อนไขมาตรา 10 โดย รับราชการคนละท้องที่ และได้เช่าและอาศัยอยู่จริง คนละท้องที่  ย่อมไม่ตัดสิทธิคู่สมรสทั้งสองฝ่ายในการเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ เพราะไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 10 ไม่จำเป็นต้องหย่าขาดจากกันตามกฎหมายแต่อย่างใด

            แต่ถ้าคู่สมรสรับราชการต่างท้องที่ แต่ได้พักอาศัยอยู่ในบ้านที่คู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ ตลอดเวลา ความจำเป็นหรือความเดือดร้อนของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องที่อยู่อาศัยย่อมไม่มี ทำให้การเช่าบ้านของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ได้อยู่จริงเป็นปกติวิสัย การใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านจึงอาจเข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการอันเป็นเท็จจริงได้   

              ถ้าหย่ากัน  ถือว่าไม่มีความสัมพันธ์กันในฐานะคุ่สมรสตามกฎหมาย  แต่ข้อเท็จจริงคือยังคงอยู่ด้วยกันในบ้านหลังเดียวกันในท้องที่หนึ่งตลอดเวลาภายหลังจากที่หย่าขาดจากกันตามกฎหมาย ในประเด็นนี้ มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ว่า การจดทะเบียนหย่ากัน แต่ยังคงอยู่ด้วยกันตลอดเวลา มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้แล้วว่า การจดทะเบียนหย่าเป็นโมฆะ การสมรสยังคงมีอยู่ ดังนี้

            คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 8333/2560

            ภายหลังจากจำเลยกับ ส. จดทะเบียนหย่ากันแล้ว จำเลยกับ ส. ยังคงอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาพักอาศัยอยู่ที่บ้านเดียวกัน ทั้งจำเลยยังเป็นผู้ดูแล ส. เมื่อยามเจ็บไข้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนกระทั่ง ส. ถึงแก่ความตาย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า การจดทะเบียนหย่าระหว่างจำเลยกับ ส. กระทำขึ้นโดยมีเจตนาที่จะไม่ประสงค์ให้ผูกพันตามนั้น จึงเป็นโมฆะใช้บังคับมิได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยจะเบิกความว่า เหตุที่จำเลยจดทะเบียนหย่าเพราะเหตุผลทางธุรกิจการค้าของจำเลย แตกต่างจากเหตุผลการหย่าในคำให้การก็ตาม ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยเสียไป เพราะเหตุผลการหย่าไม่ได้เป็นสาระสำคัญ สาระสำคัญอยู่ที่การแสดงเจตนา เมื่อการจดทะเบียนหย่าเป็นโมฆะ การสมรสยังคงมีอยู่ มีผลทำให้บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าเกี่ยวกับการยกที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้ ส. ใช้บังคับมิได้ จำเลยอ้างความเป็นโมฆะดังกล่าวใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นทายาทรับมรดกของ ส. ที่จะต้องรับไปทั้งสิทธิและความรับผิดต่าง ๆ ได้

            ถ้าทั้งสองฝ่ายต่างใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ  ย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่า มีฝ่ายหนึ่งที่เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการอันเป็นเท็จจริงอยู่ตลอดเวลาที่ใช้สิทธิ เพราะจะติดเงื่อนไขที่ว่าไม่ได้เช่าจริงและอาศัยอยู่จริงตามปกติวิสัยในบ้านหลังที่เช่า ตามเงื่อนของกฎหมายและหนังสือตอบข้อหารือของกรมบัญชีกลางดังกล่าว

             การกระทำดังกล่าวถือว่ามีเจตนาไม่สุจริตในการใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ  มีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ในขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างพยานหลักฐานที่นำมาใช้ในการเบิกเงินค่าเช่าบ้านข้าราชการอันเป็นเท็จ  จะไปเข้าเงื่อนไขความผิดอาญา โดยมีคำพิพากษาศาลฎีกา พิจารณาไว้เมื่อ ปี พ.ศ.2540 ดังนี้

            คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6154/2540

               ใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิของผู้ให้เช่าจึงเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9)จำเลยนำใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยปลอมขึ้นและเป็นเอกสารเท็จยื่นประกอบแบบใบขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านเพื่อเบิกเงินค่าเช่าบ้าน และจำเลยได้รับเงินค่าเช่าบ้านจากคลังจังหวัดชุมพรไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่สำนักงานคลังจังหวัดชุมพรหลงเชื่อว่าจำเลยได้เช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินดังกล่าวจริง และโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่สำนักงานคลังจังหวัดชุมพรหลงเชื่อและทำให้จำเลยได้รับเงินค่าเช่าบ้านตามที่จำเลยขอเบิกจ่ายไปจากเจ้าหน้าที่สำนักงานคลังจังหวัดชุมพร อันน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เจ้าหน้าที่คลังจังหวัดชุมพร ก. และกรมส่งเสริมสหกรณ์ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตาม มาตรา 268
                จำเลยกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับเอกสารและกรอกข้อความลงในเอกสารรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(4)และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและโดยทุจริตตามมาตรา 157 เมื่อเป็นความผิดตามมาตรา 162(4)ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่ปรับบทลงโทษตามมาตรา 157 อีก
                การที่จำเลยซึ่งดำรงตำแหน่งสหกรณ์จังหวัดชุมพรซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการของสำนักงานสหกรณ์จังหวัดชุมพร ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรให้ทำการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรในการอนุมัติให้เบิกจ่ายค่าเช่าบ้านของข้าราชการและลูกจ้างในสำนักงานสหกรณ์จังหวัดชุมพร ได้ทำการอนุมัติให้เบิกจ่ายค่าเช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินในแบบใบขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านโดยรู้อยู่แล้วว่าเอกสารใบขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านและใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านเป็นเอกสารปลอม และมีข้อความเท็จโดยจำเลยได้ลงลายมือชื่ออนุมัติให้เบิกจ่ายค่าเช่าบ้านได้จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและโดยทุจริตอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
                   ตามเอกสารพิพาทเป็นเอกสารของจำเลยที่จำเลยนำเงินส่วนที่เบิกเกินไปคืนแก่ทางราชการและตามใบเสร็จรับเงินของกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่ได้รับเงินจากจำเลยไม่ปรากฏว่าได้มีการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในความผิดฐานฉ้อโกงและลำพังการที่จำเลยส่งเงินส่วนที่จำเลยเบิกเกินคืนกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมส่งเสริมสหกรณ์รับไว้ ก็เพียงแต่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดทางแพ่งเท่านั้นไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดทางอาญา และยังถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมความกันอันจะทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะนำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกง และในความผิดฐานอื่น
                การที่จำเลยปลอมใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านอันเป็นเอกสารสิทธิซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 นั้น จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน และการที่จำเลยได้นำแบบคำขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านและใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านอันเป็นเอกสารสิทธิที่จำเลยทำปลอมขึ้นดังกล่าวซึ่งมีข้อความเท็จเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เพื่อให้เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่สำนักงานคลังจังหวัดชุมพรหลงเชื่อว่าจำเลยได้เช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินดังกล่าวจริงและโดยการหลอกลวงทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่สำนักงานคลังจังหวัดชุมพรหลงเชื่อและทำให้จำเลยได้รับเงินตามที่ขอเบิกจ่ายไปจากเจ้าหน้าที่สำนักงานคลังจังหวัดชุมพรอันเป็นความผิดตามมาตรา 341 และมาตรา 268 และการที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่กรอกข้อความรับรองคำขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านได้รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ อันเป็นความผิดตามมาตรา 162(4) และการที่จำเลยในฐานะที่ดำรงตำแหน่งสหกรณ์จังหวัดชุมพรซึ่งเป็นหัวหน้าสำนักงานสหกรณ์จังหวัดชุมพรได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรในการอนุมัติการเบิกจ่ายเงินค่าเช่าบ้านแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรได้ลงลายมือชื่ออนุมัติการเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านของจำเลยในแบบคำขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยปลอมขึ้นและมีข้อความอันเป็นเท็จ อันเป็นความผิดตามมาตรา 157 นั้นเป็นการกระทำคนละครั้งคนละคราวกัน แต่การที่จำเลยปลอมใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้าน นำใบเสร็จดังกล่าวไปใช้ประกอบการยื่นคำขอเบิกเงินค่าเช่าบ้าน ลงลายมือชื่อรับรองการเบิกเงินค่าเช่าบ้านรวมทั้งลงลายมือชื่ออนุมัติการเบิกจ่ายเงินค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือนดังกล่าวนั้น แม้จะเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ก็เป็นการกระทำโดยมีเจตนาและจุดประสงค์ในผลอันเดียวกัน คือมุ่งที่จะได้รับเงินค่าเช่าบ้าน การกระทำดังกล่าวตั้งแต่ปลอมใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านจนถึงการอนุมัติให้เบิกจ่ายค่าเช่าบ้านจึงเป็นกระบวนการเดียวกันเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าเช่าบ้านตามที่จำเลยประสงค์และเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกัน จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกันในแต่ละเดือนแต่ละคำขอ ตามมาตรา 90เมื่อจำเลยกระทำการดังกล่าวรวม 12 เดือน เดือนละหนึ่งครั้งรวม 12 ครั้ง จึงถือได้ว่าจำเลยกระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 และในแต่ละกรรมต้องลงโทษในบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดคือตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (
https://deka.in.th/view-27431.html สืบค้นวันที่ 25/12/2567)

                    ตามคำพิพากษาศาลฎีกานี้  ข้าราชการที่ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการอันเป็นเท็จ จะมีความผิดอาญ  ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและโดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับเอกสารและกรอกข้อความลงในเอกสารรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(4) มีอัตราโทษจำคุกและปรับ หรือทั้งจำและปรับ  ซึ่งด้วย 

                    การเบิกค่าเช่าข้าราชการอันเป็นเท็จ จะเกี่ยวข้องกับผู้ที่เป็นคณะกรรมการไปตรวจสอบสภาพบ้านและผู้อนุมัติ ให้ต้องรับผิดทางวินัยและทางอาญาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าคณะกรรมการตรวจสอบ และผู้อนุมัติทราบข้อเท็จจริงขณะไปตรวจสภาพบ้านหรือไม่ ว่าข้าราชการผู้ใช้สิทธิเบิกไม่ได้เช่าจริง และไม่ได้อยู่จริงในบ้านที่เช่า  

                    ดังนั้น ข้าราชการต้องการใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ  แต่เป็นการสร้างพยานหลักฐานเท็จ เพื่อใช้สิทธิ จะถือว่าคุ้มค่ากับการถูกไล่ออกจากราชการ ถูกศาลพิพากษาให้จำคุก และชดใช้เงินค่าเช่าบ้านข้าราชการที่เบิกไปแล้ว หรือไม่  ต้องไปไตร่ตรองให้ละเอียดด้วย 


--------------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิง

1.https://deka.in.th/view-27431.html สืบค้นวันที่ 25/12/2567


หนี้ขาดอายุความ ต้องยกขึ้นต่อสู้

 บทความโดยก้องทภพ แก้วศรี


            บทความเรื่อง หนี้ขาดอายุความ ต้องยกขึ้นต่อสู้   สำคัญอย่างไร ทำไมต้องยกขึ้นต่อสู้ ก็เป็นเรื่องของกฎหมายแพ่งที่ควรต้องรู้ จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ถือเป็นความรู้ทั่วไปในเรื่องนี้ครับ

            หนึ้ เป็นการก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแก่เจ้าหนี้ที่มีต่อลูกหนี้  ถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ตามกำหนดไม่ผิดเงื่อนไขตามสัญญาก่อหนี้ที่เกิดขึ้น ก็จะไม่มีปัญหาอะไร เพราะโดยปกติเมื่อเป็นหนี้ก็ต้องชำระหนี้แก่เจ้าหนี้อยู่แล้ว เพราะเวลาเราจะไปก่อหนี้ เราเดือดร้อนอยากหาแหล่งเงินกู้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน พอได้แล้วความเดือดร้อนหายไปแล้ว ก็ไม่อยากชำระหนี้ เสียดายอยากเอาเงินไปทำอย่างอื่นก่อน แบบนี้ก็ไม่ถูกต้องเท่าไร แต่บางคนมีความเดือดร้อนเรื่องอื่นเข้ามาอีก ทำให้ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน ชำระหนี้ได้ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข จนมีการผิดสัญญา ผิดนัดชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็จะใช้สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ คำว่าสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ จะใช้ในทางศาล คือการยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดี เจ้าหนี้จะใช้วิธีการข่มขู่ ทำร้าย หรือวิธีการที่เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการทวงหนี้ พ.ศ.2558 ก็จะมีความผิดอาญา เจ้าหนี้จะต้องโทษจำคุกและปรับตามหลักกฎหมายฉบับดังกล่าว

                ปกติหนี้ที่ลูกหนี้ผิดนัดเจ้าหนี้จะฟ้องให้รับผิดชำระหนี้ พร้อมดอกเบี้ยผิดนัด ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224  และมาตรา 224/1 ที่มีการแก้ไขใหม่ บัญญัติไว้ดังนี้ "มาตรา  224  หนี้เงินนั้น  ให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา  7 (อัตราร้อยละ3ต่อปี)  บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี  ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่น อันชอบด้วยกฎหมาย  ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น ห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด การพิสูจน์ค่าเสียหายอย่างอื่นนอกจากนั้น  ให้พิสูจน์ได้”  "มาตรา  224/1  ถ้าลูกหนี้มีหน้าที่ผ่อนชำระหนี้เงินเป็นงวด  และลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ในงวดใด  เจ้าหนี้อาจเรียกดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดได้เฉพาะจากต้นเงินของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดนั้น ข้อตกลงใดขัดกับความในวรรคหนึ่ง  ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ” 

                เมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ ลูกหนี้ก็ต้องรับผิดชดใช้เงินต้น  รวมด้วยดอกเบี้ยผิดนัดตามมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งการเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ เป็นเรื่องของการใช้สิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้มีต่อลูกหนี้ ซึ่งต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด มิฉะนั้นสิทธิเรียกร้องนั้นจะขาดอายุความ 

                สิทธิเรียกร้องใด มีอายุความเท่าใด ดูตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 6 อายุความ หมวด 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป ตั้งแต่มาตรา 193/9 -193/29 หมวด 2 กำหนดอายุความ ตั้งแต่มาตรา 193/30-193/35 

                สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้ เป็นบทบัญญัติที่กำหนดสิทธิแก่ลูกหนี้ ที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ได้ ตามมาตรา 193/10 ซึ่งการปฏิเสธนั้น ทำได้โดยการไม่ชำระหนี้ ไม่ชำระดอกเบี้ย ไม่ทำหนังสือยินยอมรับสภาพหนี้ในภายหลังที่หนี้ขาดอายุความ หรือไม่กระทำการอื่นใดที่เป็นการแสดงให้เห็นว่าลูกหนี้ยอมรับผิดในหนี้ที่ขาดอายุความนั้นแล้ว  

                เมื่อเจ้าหนี้ นำหนี้ไปฟ้องคดีต่อศาล เพื่อขอให้ชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้ ลูกหนี้ต้องรับคำฟ้องมาตรวจพิจารณาดูว่า หนี้นั้นมีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่  เป็นหนี้ที่ขาดอายุความแล้วหรือไม่ และต้องทำคำให้การยื่นต่อสู้ต่อศาล  ซึ่งในการต่อสู้กับเจ้าหนี้เป็นคดีแพ่งนั้น หากลูกหนี้ไม่ได้ตั้งทนายความ ก็สามารถต่อสู้คดีด้วยตนเองได้ ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคาวมแพ่ง มาตรา 55 ที่บัญญัติว่า "เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบจะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัตแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้" และมาตรา 60 ที่บัญญัติว่า " คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือผู้แทนโดยชอบธรรมในกรณีที่คู่ความเป็นผู้ไร้ความสามารถ หรือผู้แทนในกรณีที่คู่ความเป็นนิติบุคคล จะว่าความด้วยตนเอง และดำเนินกระบวนพิจารณาทั้งปวงตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์ของตน หรือจะตั้งทนายความคนเดียวหรือหลายคนให้ว่าความและดำเนินการกระบวนพิจารณาแทนตนก็ได้"

               หากหนี้ที่เจ้าหน้าที่นำมาฟ้องบังคับให้ลูกหนี้ หรือบุคคลค้ำประกันให้ชำระหนี้ นั้นขาดอายุความแล้ว ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 193/10 ลูกหนี้มีสิทธิปฏิเสธการชำระหนี้ได้  ลูกหนี้หรือบุคคลที่ค้ำประกันต้องทำคำให้การแก้คำฟ้องว่าหนี้นั้นขาดอายุความแล้ว ยื่นต่อศาลภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ได้รับคำฟ้องของโจทก์ที่เป็นเจ้าหนี้ หากทำไม่ทัน ลูกหนี้ทำคำร้องยื่นขอขยายระยะเวลาทำคำให้การต่อศาลได้  แต่ต้องยื่นคำร้องขอขยายเวลาให้ทันภายในเวลาทำคำให้การ 15 วันด้วย เพราะเป็นเวลากฎหมายกำหนดให้ทำคำให้การ  

                ถ้าลูกหนี้ไม่ทำคำให้การ  ถือว่า จำเลยไม่ยื่นคำให้การหรือขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลจะพิจารณาตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่าลูกหนี้ เป็นหนี้อยู่จริง รวมดอกเบี้ย  จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีในศาลได้ เพราะไม่มีคำให้การ  หากลูกหนี้ไม่ไปศาลในวันพิจารณา เจ้าหนี้ที่เป็นโจทก์ก็จะยิ่งชอบ เพราะมีโอกาสที่จะชนะคดีมาก

                การยกอายุความในคดีแพ่งต่อสู้ต่อศาล เป็นหน้าที่ของจำเลย  หากไม่ยกขึ้นต่อศาล แม้คดีจะขาดอายุความในทางแพ่งแล้ว ศาลไม่อาจยกประเด็นหนี้ขาดอายุความขึ้นมาพิจารณาคดีได้เอง ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/29 ที่บัญญัติว่า " เมื่อไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้ " ซึ่งในเรื่องอายุในคดีแพ่ง ไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทำให้ศาลไม่อาจหยิบยกขึ้นพิจารณาได้เอง เพราะจะเป็นเรื่องการทำคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้อง ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 

               ดังนั้น การจะยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้ในทางแพ่ง จำเลยต้องยกขึ้นต่อสู้ไว้ตั้งแต่ศาลช้ันต้น โดยการยื่นคำให้การต่อสู้คดีในประเด็นดังกล่าวไว้เสมอ ถ้าการต่อสู้คดีในศาลชั้นต้นยังแพ้ในประเด็นดังกล่าว และเห็นว่ายังไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ก็ต้องอุทธรณ์คำพิพากษาโต้แย้งในประเด็นดังกล่าวไว้ในชั้นอุทธรณ์ด้วย 

                โดยหนี้ในทางแพ่ง อาจเกิดขึ้นในหลายรูปแบบ ไม่เพียงแต่เป็นหนี้จากการกู้ยืมเท่านั้น ถ้าการก่อให้เกิดหนี้ เกิดขึ้นและเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประเด็นหนี้ขาดอายุความในทางแพ่งก็ต้องยกขึ้นต่อสู้ไว้เสมอ เพื่อปฏิเสธการชำระหนี้ที่ขาดอายุความแล้วนั่นเอง 

                แต่ในเรื่องนี้ เจ้าหนี้เขาก็ทราบประเด็นนี้อยู่ โอกาสที่จะปล่อยให้หนี้ขาดอายุความนั้นยากมาก ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้  เจ้าหนี้จะปล่อยให้หนี้ค้างชำระมีระยะ 1 ปี หรือ 2 ปี หรือ 3 ปี และจะฟ้องก่อนหนี้ขาดอายุความเสมอ  เพื่อการเรียกดอกเบี้ยผิดนัดเพิ่มเติมจากยอดหนี้ที่ค้างชำระ  เมื่อรวมต้นแล้ว ยอดหนี้จะสูงกว่าเดิม และตามฟ้องของเจ้าหนี้ ก็จะขอให้ศาลคิดดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จอีกด้วย เท่ากับ เสียหายหลายต่อเลยที่เดียว โดยเมื่อเจ้าหนี้ฟ้องคดีชนะแล้ว กฎหมายยังให้เวลาเจ้าหนี้สืบหาทรัพย์สินเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินลูกหนี้ได้ถึง 10 ปี เลยที่เดียว ฉะนั้น ทางที่ดี มีเงินต้องรีบชำระหนี้ให้จบๆ  จะดีที่สุด

             คำพิพากษาที่น่าสนใจครับ

            คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2033/2567

  • สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของตาม ป.พ.พ. มาตรา 587 ถือเอาผลสำเร็จแห่งการงานที่จ้างเป็นสำคัญ และการจ่ายสินจ้างถือเอาความสำเร็จของผลงานหรือตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อสัญญาจ้างดังกล่าวกำหนดชำระค่าจ้าง 3 งวด แต่มีเฉพาะงวดที่ 1 เท่านั้น ที่ถึงกำหนดชำระ ต้องถือว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระให้แก่โจทก์ทั้ง 9 ครั้ง เป็นการชำระหนี้ในงวดที่ 1 ซึ่งถึงกำหนดชำระแล้ว ตามมาตรา 328 วรรคสอง อันมีผลทำให้อายุความในหนี้ค่าจ่างว่าความงวดที่ 1 สะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) และต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันชำระหนี้ครั้งสุดท้ายตามมาตรา 193/15 วรรคสอง คำฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องเรียกเอาค่าการงานมีอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (16) เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ครั้งสุดท้าย ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่ขาดอายุความ

    อย่างไรก็ตาม จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วมในสัญญาจ้างว่าความ มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ การที่จำเลยที่ 2 ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือว่า จำเลยที่ 1 ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 59 (1) และข้อความจริงใด เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษเฉพาะแต่ตัวลูกหนี้คนนั้นเท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 295 การที่จำเลยที่ 2 เพียงคนเดียวชำระหนี้แก่โจทก์ อายุความจึงสะดุดหยุดลงเฉพาะแก่จำเลยที่ 2 หามีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมไม่ หนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงต้องเริ่มนับแต่วันทำสัญญาจ้างซึ่งเป็นเวลาขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความในงวดที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความ

    สำหรับค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 กำหนดชำระเมื่อสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วเสร็จ และงวดที่ 3 กำหนดชำระหนี้ก่อนนัดฟังคำพิพากษา 15 วัน มิใช่หนี้ที่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อโจทก์ว่าความให้แก่จำเลยทั้งสองแล้วเสร็จโดยตกลงกับคู่กรณีได้ ถือว่าหนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ถึงกำหนดชำระในวันดังกล่าว ตราบใดที่โจทก์ยังไม่เตือนให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ จำเลยทั้งสองจึงยังไม่ได้ชื่อว่าผิดนัด เมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสองมีกำหนดเวลาให้นำเงินมาชำระหนี้ภายใน 7 วัน และจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามแล้ว แต่เมื่อครบกำหนด 7 วัน จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ถือว่าจำเลยทั้งสองตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้วตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดสำหรับค่าจ้างว่าความในงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ได้ในวันถัดจากวันครบกำหนดชำระหนี้ดังกล่าว

  • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4557/2566

จทก์ฟ้องโดยไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือมาแสดง แต่โจทก์มีหนังสือรับสภาพหนี้มีใจความว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์ โดยนำโฉนดที่ดินมาให้ยึดถือไว้เป็นประกัน และจำเลยในฐานะทายาทของผู้ตายรับจะชดใช้เงินแก่โจทก์ กับมีลายมือชื่อของจำเลยในสัญญา และโจทก์มี ส. บุตรของโจทก์และในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์และเป็นพยานลงชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้มาเบิกความยืนยันว่า ผู้ตายซึ่งเป็นบิดาของจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จริงและมารดาพยานซึ่งเป็นพี่ของผู้ตายต้องการช่วยน้อง จึงให้นำโฉนดที่ดินมาวางเป็นประกัน มีการทำสัญญากู้ยืมเงินกันไว้ ต่อมาเมื่อจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์ได้คืนสัญญากู้ยืมเงินให้จำเลย โจทก์และ ส. เป็นญาติของจำเลย เชื่อว่า ส. เบิกความไปตามความจริงที่ได้รู้เห็นมา อันเป็นการนำสืบถึงความเป็นมาของมูลหนี้เดิมและหลักทรัพย์ที่นำมาเป็นประกันประกอบกับโจทก์มีโฉนดที่ดินของผู้ตายอยู่ในครอบครอง จึงฟังได้ว่าผู้ตายกู้ยืมเงินโจทก์โดยมีการทำสัญญากู้ยืมเงินกันไว้จริง และมีการคืนให้จำเลยเมื่อมีการทำหนังสือรับสภาพหนี้

การที่ ง. โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยทราบว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์ให้จำเลยไปลงชื่อรับชำระหนี้ มิฉะนั้นจะเอาตำรวจมาจับและต้องติดคุก แสดงว่า ง. ได้แจ้งข้อเท็จจริงในหนังสือให้จำเลยทราบแล้วก่อนที่จะมีการทำหนังสือดังกล่าวขึ้น ส่วนถ้อยคำที่ว่า "ให้จำเลยไปลงชื่อรับชำระหนี้มิเช่นนั้นจะเอาตำรวจมาจับจะต้องติดคุก" นั้น จากพฤติการณ์ที่ผู้ตายเสียชีวิตและยังไม่มีผู้ใดชำระหนี้ การที่ ง. พูดขู่จำเลยดังกล่าว และจำเลยยอมลงลายมือชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้ยอมรับผิดจะใช้เงินที่กู้คืนแก่โจทก์ เป็นกรณีที่ ง. ทำไปโดยเชื่อว่าตนมีสิทธิทำได้ตามกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยม หาใช่เป็นการหลอกลวงข่มขู่อันจะทำให้นิติกรรมเป็นโมฆียะไม่ หนังสือรับสภาพหนี้จึงมีผลใช้บังคับได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 165 วรรคหนึ่ง และมาตรา 166

ผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2556 จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 เมื่อการทำหนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลยต่อโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมทำให้อายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสาม สะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) โจทก์ไม่ต้องห้ามฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่รู้ถึงความตายของเจ้ามรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสาม และต้องเริ่มต้นนับอายุความใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้เดิมนับแต่เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นสิ้นสุดลง เมื่อกฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความของการกู้ยืมเงินไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 ส่วนหนังสือรับสภาพหนี้ไม่มีอายุความในตัวเองเพียงแต่มีผลทำให้อายุความในมูลหนี้เดิมสะดุดหยุดลง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ได้ภายในกำหนด 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/15 และมาตรา 193/30 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ภายในกำหนด 10 ปี ดังกล่าว ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

การทำหนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลยมีข้อตกลงระบุให้โจทก์มีสิทธิยึดโฉนดที่ดินไว้เป็นประกันอันเป็นข้อตกลงที่คู่สัญญาสมัครใจทำต่อกัน ซึ่งไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์จึงมีสิทธิยึดโฉนดที่ดินอันเป็นทรัพย์ที่นำมาประกันไว้จนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ตามสัญญา จำเลยไม่มีสิทธิขอโฉนดที่ดินคืนจนกว่าจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนและไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์

             คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3441/2565

  • จำเลยให้การว่า จำเลยใช้บริการสินเชื่อประเภทบัตรกดเงินสดจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาสินจ้างจากจำเลย รวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไปเป็นกรณีที่จำเลยให้การว่าหนี้ตามสัญญาสินเชื่อบุคคลกรุงศรี สไมล์ แคช ไลน์ ขาดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7) คดีจึงมีประเด็นเพียงว่า หนี้ตามสัญญาสินเชื่อบุคคลกรุงศรี สไมล์ แคช ไลน์ ขาดอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (7) หรือไม่ เท่านั้น แม้จำเลยจะอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความในทำนองว่า หนี้ส่วนนี้ขาดอายุความ 5 ปี ก็ไม่ทำให้เกิดประเด็นขึ้นเพราะเป็นเรื่องนอกคำให้การ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า หนี้ตามสัญญาสินเชื่อบุคคลกรุงศรี สไมล์ แคช ไลน์ ขาดอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 193/33 (2) จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์ไม่ฎีกาในเรื่องนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7

    ส่วนที่จำเลยให้การในตอนท้ายต่อมาว่า นับแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2556 ถึงวันที่ 5 ตุลาคม 2561 โจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องแต่ไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องบังคับให้จำเลยชำระเงินภายในกำหนดดังกล่าว สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความนั้น คำให้การในส่วนนี้ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความให้ชัดแจ้งว่าขาดอายุความเรื่องใด ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ 5 ปี ได้ความว่า สินเชื่อบุคคลกรุงศรี สไมล์ แคช ไลน์ เป็นกรณีที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) อนุมัติสินเชื่อเป็นวงเงินกู้ประเภทหมุนเวียนแบบมีกำหนดการชำระคืนขั้นต่ำและหรือแบบมีการกำหนดชำระคืนแน่นอน ซึ่งการเบิกรับเงินกู้สามารถเบิกถอนเงินจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติโดยใช้บัตรกดเงินสดที่ธนาคารออกให้หรือให้ธนาคารนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากหรือวิธีการอื่น ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยจากเงินกู้นับแต่วันที่ขอเบิกถอนเงินแต่ละครั้ง รูปคดีจึงเป็นสัญญาบริการสินเชื่อหาใช่เป็นเรื่องผู้ประกอบธุรกิจรับทำงานต่าง ๆ เรียกเอาสินจ้างรวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไปก่อนแล้วมาเรียกเก็บจากจำเลยภายหลัง สิทธิเรียกร้องเช่นนี้กฎหมายมิได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีกำหนด 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 มิใช่ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (7) ฟ้องโจทก์สำหรับหนี้สินเชื่อบุคคลกรุงศรี สไมล์ แคช ไลน์ จึงไม่ขาดอายุความ


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1028/2564

คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของ ซ. ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ จ. ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งเก้าแปลงที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ถึงที่ 11 เป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก มีอายุความห้าปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามที่ต่อสู้ในคำให้การ ประเด็นที่ว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสี่ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นในอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ฎีกาเรื่องอายุความ และจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 แก้ฎีกาเรื่องอายุความเช่นกัน จึงเป็นฎีกาและคำแก้ฎีกาที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5300/2563
  • โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกู้เงินธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) ตกลงผ่อนชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยรายเดือนรวม 36 งวด เป็นการฟ้องขอให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ซึ่งมีข้อตกลงชำระหนี้ผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในหนี้ดังกล่าวจึงมีกำหนดอายุความห้าปีนับแต่วันผิดนัดชำระหนี้ จำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2555 ต้องถือว่าจำเลยผิดนัดชำระงวดที่เหลือทั้งหมด สิทธิเรียกร้องจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป และจะครบกำหนดห้าปีในวันที่ 16 ตุลาคม 2560 โจทก์ในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องของธนาคารฯ เคยฟ้องจำเลยในมูลหนี้เดียวกันกับคดีนี้เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 ภายในกำหนดอายุความห้าปี แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้อง โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ฟ้องเข้ามาใหม่ภายในอายุความ และไม่มีคู่ความยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกากับฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 จึงเป็นที่สุดตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น คือ วันที่ 31 ตุลาคม 2560 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคท้าย อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับแก่การฎีกาคดีผู้บริโภคโดยอนุโลม ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 51 ประกอบ มาตรา 49 วรรคสอง เมื่อคดีถึงที่สุดในวันดังกล่าวอันเป็นวันหลังจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุดตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคสอง การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2561 จึงเป็นการฟ้องเมื่อล่วงพ้นกำหนดเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาในคดีก่อนถึงที่สุด ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ

  • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3329/2567
    • เมื่อสัญญากำหนดให้ลูกหนี้ต้องชำระหนี้เป็นงวด ๆ สิทธิของเจ้าหนี้ที่จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก็ต้องเป็นไปตามที่กำหนดคือเป็นงวด ๆ เช่นเดียวกัน เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ในงวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระก่อนย่อมไม่อาจทำได้ สิทธิเรียกร้องในหนี้แต่ละงวดซึ่งถึงกำหนดไม่พร้อมกัน ย่อมมีระยะเวลาครบกำหนดอายุความไม่พร้อมกัน หนี้ที่ถึงกำหนดชำระในงวดก่อน ย่อมครบกำหนด 5 ปี ก่อนหนี้ที่ถึงกำหนดทีหลังถัดกันไป ไม่ใช่ว่าหนี้งวดแรกซึ่งถึงกำหนดก่อนครบกำหนดอายุความแล้ว จะทำให้หนี้ทั้งหมดรวมถึงหนี้ในงวดหลัง ๆ ต้องครบกำหนดอายุความไปด้วยไม่ เนื่องจากสัญญาไม่ได้กำหนดไว้ว่า หากผิดนัดชำระหนี้งวดหนึ่งงวดใดแล้วก็ให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดทุกงวด ดังนั้นหนี้แต่ละจำนวนซึ่งถึงกำหนดชำระไม่พร้อมกัน จึงไม่ได้ขาดอายุความไปพร้อมกัน


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2033/2567
  • สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของตาม ป.พ.พ. มาตรา 587 ถือเอาผลสำเร็จแห่งการงานที่จ้างเป็นสำคัญ และการจ่ายสินจ้างถือเอาความสำเร็จของผลงานหรือตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อสัญญาจ้างดังกล่าวกำหนดชำระค่าจ้าง 3 งวด แต่มีเฉพาะงวดที่ 1 เท่านั้น ที่ถึงกำหนดชำระ ต้องถือว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระให้แก่โจทก์ทั้ง 9 ครั้ง เป็นการชำระหนี้ในงวดที่ 1 ซึ่งถึงกำหนดชำระแล้ว ตามมาตรา 328 วรรคสอง อันมีผลทำให้อายุความในหนี้ค่าจ่างว่าความงวดที่ 1 สะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) และต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันชำระหนี้ครั้งสุดท้ายตามมาตรา 193/15 วรรคสอง คำฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องเรียกเอาค่าการงานมีอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (16) เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ครั้งสุดท้าย ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่ขาดอายุความ

    อย่างไรก็ตาม จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วมในสัญญาจ้างว่าความ มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ การที่จำเลยที่ 2 ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือว่า จำเลยที่ 1 ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 59 (1) และข้อความจริงใด เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษเฉพาะแต่ตัวลูกหนี้คนนั้นเท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 295 การที่จำเลยที่ 2 เพียงคนเดียวชำระหนี้แก่โจทก์ อายุความจึงสะดุดหยุดลงเฉพาะแก่จำเลยที่ 2 หามีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมไม่ หนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงต้องเริ่มนับแต่วันทำสัญญาจ้างซึ่งเป็นเวลาขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความในงวดที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความ

    สำหรับค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 กำหนดชำระเมื่อสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วเสร็จ และงวดที่ 3 กำหนดชำระหนี้ก่อนนัดฟังคำพิพากษา 15 วัน มิใช่หนี้ที่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อโจทก์ว่าความให้แก่จำเลยทั้งสองแล้วเสร็จโดยตกลงกับคู่กรณีได้ ถือว่าหนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ถึงกำหนดชำระในวันดังกล่าว ตราบใดที่โจทก์ยังไม่เตือนให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ จำเลยทั้งสองจึงยังไม่ได้ชื่อว่าผิดนัด เมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสองมีกำหนดเวลาให้นำเงินมาชำระหนี้ภายใน 7 วัน และจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามแล้ว แต่เมื่อครบกำหนด 7 วัน จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ถือว่าจำเลยทั้งสองตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้วตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดสำหรับค่าจ้างว่าความในงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ได้ในวันถัดจากวันครบกำหนดชำระหนี้ดังกล่าว


---------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
1.https://deka.supremecourt.or.th/search/index/6  สืบค้นวันที่ 3 มกราคม 2568