วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2565

เจ้าหน้าที่เรียกรับเงิน ยังไม่ได้เงิน

 บทความโดยนายก้องทภพ แก้วศรี


             การพิสูจน์เจตนา ถ้าไม่มีพยานหลักฐานเอกสาร พยานวัตถุ ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงจากการกระทำ เป็นเรื่องที่นักฎหมายทราบเป็นอย่างดี บางครั้งเป็นเรื่องยากในการตีความการกระทำ เพื่อพิสูจน์เจตนา ซึ่งในทางคดีอาญา ต้องชัดเจน แต่ในทางการดำเนินการทางวินัย ถ้ามีข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อว่ากระทำผิดวินัย แม้จะยืนยันได้ไม่ชัดเจนแต่น่าเชื่อ ก็สามารถลงโทษทางวินัยได้ แม้ในทางคดีอาญา ศาลจะยกฟ้องก็ตาม 

             ประเด็นในคดีปกครอง ที่จะนำเสนอในบทความนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับการดำเนินการทางวินัยบางประเด็นเป็นเรื่องยากในการพิสูจน์ เพราะไม่มีพยานหลักฐานเอกสาร พยานบุคคลในขณะเกิดเหตุมีเพียงผู้กระทำ กับผู้ถูกกระทำที่รู้เห็นการกระทำ เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า มีการกระทำนั้นจริงตามข้อกล่าวหา ซึ่งคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.1413/2563 เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการดำเนินการทางวินัย ที่คณะกรรมการสอบสวน ต้องรวบรวมพยานหลักฐาน

             เจ้าหน้าที่เรียกรับเงิน ยังไม่ได้รับเงิน แต่ผลทางวินัยกลับถูกไล่ออกจากราชการ เป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าสำหรับชีวิตข้าราชการ แต่ก็น่าเชื่อว่า ยังมีเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจ ยังฝักใฝ่ในผลประโยชน์จากหน้าที่ราชการ ทั้งรูปแบบเงินเปอร์เซ็นต์ หรือเรียกรับผลประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ก็เป็นเรื่องปกติที่ไม่ปกติในวงราชการ ที่มีคดีให้ดำเนินการกันอยู่เนื่องๆ ทำอย่างไรได้ แม้จะทำให้ทั้งหมดเป็นคนดี คนสุจริตซื่้อตรงไม่ได้ แต่การพยายามขจัดคนที่ทุจริตประพฤติมิชอบออกไป ไม่ให้มีมากจนเกินไป ก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้ราชการไม่ได้รับความเสียหายมาก  

            กลับมาที่เนื้อหาในบทความนี้  ในคดีนี้ เป็นกรณีเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจหน้าที่เรียกเงินเปอร์เซนต์ โดยถูกต้องข้อกล่าวหาว่า เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบและฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 มาตรา 157 และมีมูลกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฎิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ โดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานกระทำอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง 

           ข้อเท็จจริงมีเพียงผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง กับผู้รับจ้างตามสัญญาจ้างเท่านั้นที่รู้เห็นและทราบเหตุการณ์ มีพยานเอกสารเป็นกระดาษขาวเล็กๆ ที่ระบุถึงจำนวนเปอร์เซ็นต์และตัวเลขจำนวนเงิน ไม่ปรากฎลายลักษรอักษรในการเรียกรับเงิน ไม่ปรากฎลายมือชื่อ แต่ภายหลังการส่งมอบงานและหน่วยงานจ่ายเงิน โดยเป็นเช็คให้แก่ผู้รับจ้าง  มีขั้นตอนเกิดขึ้นในระหว่างการเบิกจ่ายเงินตามเช็ค ที่ทำให้ผู้รับจ้างต้องติดต่อเจ้าหน้าที่การเงิน เจ้าหน้าที่ธนาคาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้กระทำผิดซึ่งเป็นมีอำนาจสั่งจ่ายเช็ค 

 คลิกโฆษณา

           คดีนี้ ศาลปกครองชั้นต้น มีคำพิพากษาว่า "พยานบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ไม่มีรายใดให้การยืนยันว่าเห็นขณะทำการเรียกรับเงิน คงมีเพียงคำกล่างอ้างของผู้รับจ้างผู้กล่าวหาเท่านั้น เมื่อผู้รับจ้างเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน อีกทั้งทำหนังสือแจ้งคำกล่าวหานี้ต่อ ปปช.ย่อมอยู่ในสภาพที่ขาดความเป็นกลางทำให้น้ำหนักในการรับฟังในฐานะพยานหรือผู้ถูกกล่าวหายังไม่หนักแน่เพียงพอ เนื่องจากอยู่ในฐานะคู่กรณีกัน ประกอบกับพยานเอกสารที่อ้างว่าผู้กระทำผิดได้เขียนข้อความลงในกระดาษซึ่งเป็นสูตรคำนวณเงินที่เรียกรับ ผลการพิสูจน์ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ปรากฎว่าไม่ใช่ลายมือของผู้กระทำผิด ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้แน่ชัดว่าผู้กระทำผิดได้กระทำการเรียกรับเงินจากผู้รับจ้างเป็นค่าตอบแทนในการช่วยให้กลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้าได้รับสิทธิตัดเย็บชุดเครื่องแบบนักเรียน อันเป็๋นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง 

             อย่างไรก็ตาม แม้พยานหลักฐานจะฟังไม่ได้แน่ฃัดเพียงพอว่าได้กระทำการเรียกรับเงินตามที่ถูกกล่าวหาจริงหรือไม่ แต่เมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานดังกล่าวแล้ว โดยเฉพาะพยานพนักงานธนาคาร และพนักงานสอบสวน ซึ่งได้ให้การขณะที่ตนปฏิบัติหน้าที่ คำให้การของบุคคลดังกล่าว จึงมีความน่าเชื่อถือ เมื่อรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นๆ จะเห็นได้ว่าผู้่กระทำผิดได้เข้ามาเพี่ยวข้องกับเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ภายหลังที่ผู้กระทำผิดได้ลงนามสั่งจ่ายเช็ค ประกอบคำให้การเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี และพยานเอกสาร การที่ผู้กระทำผิดไปพบกับผู้รับจ้างที่ธนาคาร และได้เอาเช็คคืนมาเพื่อกลับไปตรวจสอบการเบิกจ่ายเงิน ทั้งที่ขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินไม่ได้มีปัญหาขัดข้องแต่อย่างใด การกระทำของผู้กระทำผิดจึงขัดแย้งกับข้อเท็จจริงตามพยานเอกสารหลักฐานของฝ่ายการเงินและพัสดุ  การเอาเช็คคืนมา จีงเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลอันสมควร จึงเข้าข่ายเป็นกรณีมีเหตุอันควรสงสัยอย่างยิ่งว่าได้กระทำการดังที่ถูกกล่าวหา แต่การสอบสวนไม่ได้ความแน่ชัดที่จะฟังลงโทษได้ ซึ่งผู้บังคับบัญชาอาจมีคำสั่งให้ออกจากราชการ เพราะมีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวนได้ "

คลิกโฆษณา


            ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาว่า " พฤติการณ์การกระทำตั้งแต่การสั่งระงับการจ่ายเงินตามเช็ค การเรียกเช็คคืนจากผู้รับจ้าง และการคืนเช็คให้ผู้รับจ้าง หลังจากที่ผู้รับจ้างได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญา และเมื่อฟังประกอบกับคำให้การของผู้ถูกกล่าวหา รวมทั้งพยานหลักฐานอื่นเชื่อมโยงสอดคล้องต้องกัน จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าได้กระทำการเรียกเงินจากผู้รับจ้าง เพื่อเป็นการตอบแทนให้ผู้รับจ้างสามารถเรียกเก็บเงินตามเช็ค เมื่อผู้รับจ้างไม่ยินยอมตามข้อเรียกร้อง ทำให้ในฐานะผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินตามเช็ค แจ้งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินตามเช็คไว้ชั่วคราวโดยปราศจากเหตุผลที่จะกระทำเช่นนั้นได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อเป็นการต่อรองให้ผู้รับจ้างยินยอมจ่ายเงินให้ตามข้อเรียกร้อง ส่วนที่อ้างว่าลายมือที่ปรากฎในเอกสารที่มีรายละเอียดและจำนวนเงินที่เรียก ไม่ใช่ลายมือของผู้กระทำผิด(ผู้ฟ้อง) เห็นว่า แม้ผลการพิสูจน์ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จะปรากฎว่าลายมือที่เขียนในเอกสาร ไม่ใช่ลายมือของผู้กระทำผิดตามที่อ้าง แต่เมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคล พยานเอกสารปรากฎข้อเท็จจริงชัดเจนว่า ผู้กระทำผิดกับผู้รับจ้างได้ติดต่อหรือพบกันหลายครั้ง ทั้งที่ทำงานและสถานที่อื่น ภายหลังจากที่มีการสั่งจ่ายเช็คพิพาทดังกล่าวแล้ว โดยไม่มีเหตุที่จะต้องติดต่อกันและผู้กระทำผิดเป็นผู้สั่งระงับการจ่ายเช็คและเรีกกเอาเช็คคืนมาจากผู้รับจ้าง โดยไม่มีเหตุทีจะอ้างได้ตามระเบียบกฎหมายอันเป็นพฤติการณ์ที่มิชอบที่ผู้สุจริตจะพึงกระทำ 

            ประกอบกับ ผู้กระทำผิดและผู้รับจ้าง ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่ผู้รับจ้างจะสร้างพยานหลักฐานเท็จเพื่อใส่ร้าย แต่เหตุที่ผู้รับจ้างร้องเรียนกล่าวหาในเรื่องนี้ สืบเนื่องมาจากผู้รับจ้างไม่ได้รับเงินค่าจ้าง ตามสัญญาจ้าง อันเป็นการกระทำเพื่อรักษาสิทธิของตนเองเท่านั้น โดยไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่ามีเจตนากลั่นแกล้งร้องเรี่ยนหรือมีเหตุผลใดที่พอจะชี้ให้เห็นว่า ผู้รับจ้างได้ให้การปรักปรำผู้กระทำผิดว่าเรียกรับเงินโดยไม่มีมูลความจริง ในทางตรงกันข้ามกลับปรากฎข้อเท็จจริงว่าผู้กระทำผิดได้สั่งระงับการจ่ายเงินตามเช็คโดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งมีลักษณะเป็นการบีบบังคับให้ยินยอมทำตามสิ่งที่เรียกร้อง การให้ถ้อยคำของผู้ถูกกล่าวหา จึงมีน้ำหนักเชื่อได้ว่าผู้กระทำผิดได้มอบเอกสารที่มีรายละเอียดและจำนวนเงินที่เรียกจากผู้รับจ้างจริง 

 คลิกโฆษณา

           การที่ผู้กระทำผิด ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่ง และมีหน้าที่ดูแล ควบคุม รับผิดชอบการปฏิบัติงานของฝ่ายการเงินและพัสดุ ฝ่ายแผนงานและงบประมาณ และปฏิบัติงานอื่นตามที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งการเบิกจ่ายค่าจ้างตามเช็ค ซึ่งได้สั่งจ่ายให้แก่ผู้รับจ้าง เป็นงานในฝ่ายการเงินและพัสดุ จึงเป็นงานในหน้าที่ โดยผู้กระทำผิดเป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค  ได้เรียกเงินจากผู้รับจ้างโดยมิชอบ แต่ผู้รับจ้างไม่ยินยอมตามที่เรียกร้อง ทำให้ผู้กระทำผิดในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็ค ได้แจ้งให้ธนาคาร ระงับการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวและเรียกเช็คคืนจากผู้รับจ้าง ทั้งที่ไม่อาจกระทำเช่นน้ันได้ตามกฎหมาย เพราะไม่มีปัญหาใดๆที่จะระงับการจ่ายเงินตามเช็คหรือเรียกเช็คดังกล่าวคืน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการต่อรองให้ผูรับจ้างยินยอมจ่ายเงินให้แก่ผู้กระทำผิดตามที่เรียกร้อง ซึ่งแม้ผู้รับจ้างจะยังไม่ได้จ่ายเงินให้ก็ตาม แต่พฤติการณ์ข้างต้นเข้าข่ายเป็นการเรียกเงินจากผู้รับจ้างแล้ว ย่อมถือได้ว่าการกระทำการดังกล่าว เพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ จึงเป็นการกระทำผิดวินัยฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการและฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง การมีคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว 

            จากที่ผู้เขียนนำมาเสนอ จะเป็นแนวทางสำหรับการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและการทำความเห็นในสำนวน กับทั้งเป็นตัวอย่างการกระทำผิดให้ข้าราชการผู้มีอำนาจหน้าที่ ประพฤติปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยชอบ ไม่กระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในหน้าที่ราชการ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น