บทความโดยก้องทภพ แก้วศรี
ขอพิจารณาคดีใหม่ เมื่อพ้น 6 เดือน สามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งนักกฎหมายทราบตัวบทกฎหมายดังกล่าวเป็นอย่างดี แต่จากการสืบค้นคำพิพากษาศาลฎีกา พบคำพิพากษาที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการขอพิจารณาคดีใหม่ที่ยื่นเมื่อพ้นกำหนด 6 เดือน ที่ศาลพิจารณาอนุญาตให้ โดยใช้เหตุผลที่เป็นความประสงค์ของคู่ความ มากกว่าการใช้หลักกฎหมายตามตัวบทกฎหมายเพื่อตัดสิทธิจำเลย
คำขอพิจารณาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 จัตวา มีหลักกฎหมายว่า " คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ ให้ยื่นต่อศาลภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การ "
คำขอพิจารณาคดีใหม่ตามมาตรานี้ จึงเป็นเรื่องของ จำเลย ที่ขาดนัดยื่นคำให้การยื่นคำขอพิจารณาคดีใหม่ ภายหลังศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
หลักคือ จำเลยต้องมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ หรือมีเหตุผลอันสมควร และจำเลยเห็นว่า จำเลยมีทางที่จะชนะคดีได้ ถ้าได้ยื่นคำให้การและหลักฐาน เพื่อปฎิเสธหรือหักล้างข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์
เนื้อหาที่จะนำเสนอก็คือ ระยะเวลาในการยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ ซึ่งตามตัวบทกฎหมาย กำหนดให้จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การ ต้องยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วันนับจากวันที่ศาลส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ถ้ามีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ทำให้จำเลยไม่สามารถยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนด 15 วัน จำเลยสามารถยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ แต่ห้ามมิให้ยื่นคำขอ เมื่อพ้นกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์ หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น คำสั่งศาลที่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่เป็นที่สุด แต่ถ้าศาลมีคำสั่งไม่อนุญาต ผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด
ตามตัวบท จึงเข้าใจว่า ถ้าพ้นกำหนดดังกล่าว จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การ ไม่สามารถยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ แต่ในความจริง มีคำพิพากษาของศาลฎีกา 3607/2561 ได้วางหลักให้สามารถพิจารณาคดีใหม่ ตามคำขอของจำเลยที่ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อพ้นกำหนด 6 เดือนได้ ถ้าโจทก์ไม่คัดค้านหรือแถลงคัดค้านการขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลย ทำให้ศาลเห็นว่าคู่ความในคดีนั้นประสงค์จะให้คดีแพ้ชนะกันในเนื้อหาแห่งคดีหาใช่โดยการได้เปรียบกันด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่คู่ความในคดีแพ่งสามารถกระทำได้โดยชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3607/2561
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ในคดีหมายเลขแดงที่ 208/2555 ของศาลชั้นต้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายอันมีผลทำให้การสมรสระหว่างจำเลยกับนายกำจัดไม่ตกเป็นโมฆะตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือไม่ ซึ่งเห็นควรวินิจฉัยไปพร้อมกัน ในข้อนี้จำเลยฎีกาว่า นายกำจัดนำคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 208/2555 ของศาลชั้นต้นไปให้นายทะเบียนบันทึกการหย่าเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 และจดทะเบียนสมรสกับจำเลยในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 ต่อมาวันที่ 5 กรกฎาคม 2556 โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่ และวันที่ 4 พฤศจิกายน 2556 ศาลชั้นต้นงดการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่และมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีนั้น ยื่นคำขอพิจารณาใหม่เมื่อพ้นกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 ซึ่งเป็นวันที่นายกำจัดนำคำพิพากษาศาลชั้นต้นไปให้นายทะเบียนบันทึกการหย่าอันเป็นการบังคับตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่นแล้ว การที่ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ไว้พิจารณา และมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลง และเป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ในเรื่องการพิจารณาคดีใหม่จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 อันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่จะถึงที่สุดแล้ว แต่ก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีผลเพิกถอนคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้นายกำจัดและโจทก์หย่าขาดจากกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 เบญจ วรรคสาม และไม่มีผลผูกพันจำเลยซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีระหว่างนายกำจัดกับโจทก์ ดังนั้น ในขณะที่นายกำจัดจดทะเบียนสมรสกับจำเลย จึงมิใช่ทำการสมรสในขณะที่นายกำจัดมีคู่สมรสอยู่ การสมรสระหว่างนายกำจัดกับจำเลยจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 และไม่ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 นอกจากนี้หากคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่มีผลเพิกถอนคำพิพากษาที่ให้นายกำจัดกับโจทก์หย่าขาดจากกัน ก็เป็นการพ้นวิสัยที่จะให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมดังเช่นก่อนบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 เบญจ วรรคสาม และเมื่อนายกำจัดถึงแก่ความตายในเวลาดังกล่าว การที่จะเพิกถอนการสมรสระหว่างนายกำจัดกับจำเลยในคดีนี้ ก็เป็นการพ้นวิสัยที่จะให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมดังเช่นก่อนบังคับคดีได้เช่นกันและยังเป็นการกระทบสิทธิของจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ทำการสมรสโดยสุจริตและศาลในคดีดังกล่าวก็มิได้มีคำสั่งใด ๆ ตามที่เห็นสมควรโดยชัดแจ้งเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 เบญจ วรรคสาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น