บทความโดย ก้องทภพ แก้วศรี
ขอคืนที่ดินที่บริจาคให้ราชการ ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ กรณีเลิกใช้ประโยชน์
มีหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการที่บุคคลขอคืนที่ดินที่บริจาคให้ราชการซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุแล้ว มานำเสนอ เพื่อแนวทางในการปฏิบัติราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ อ.๑๐๑/๒๕๖๒ ดังนี้
ข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าว เป็นกรณีที่บุคคลบริจาคที่ดิน
ประมาณ ๒ งาน ให้แก่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เพื่อใช้เป็นสถานีผดุงครรภ์
ที่ดินขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ
กรมอนามัยดำเนินการก่อสร้างอาคารในที่ดินแปลงดังล่าว ใช้ประโยชน์มาตั้งแต่ปี
พ.ศ.๒๕๐๙ ต่อมาเปลี่ยนเป็นสถานีอนามัยจนถึงปี พ.ศ.๒๕๒๒ จึงเลิกใช้ประโยชน์
โดยไปสร้างสถานีอนามัยในที่ดินแปลงอื่น
เนื่องจากมีความคับแคบไม่เพียงพอแก่การให้บริการประชาชน
ต่อมาบุตรของผู้บริจาคมาขอเช่าที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและทำการเกษตร
และมีหนังสือขอคืนที่ดินที่บริจาคให้ราชการ ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าว
หลักกฎหมายที่ศาลใช้ในการพิจารณาในคดีนี้ คือ
๑.มาตรา ๑๓๐๔
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น
รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันเช่น...(๓)
ทรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นต้นว่า ป้อมและโรงทหาร
สำนักราชการบ้านเมือง เรือรบ อาวุธ ยุทธภัณฑ์
๒.พระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.๒๕๑๘
มาตรา ๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า
ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ราชการพัสดุ มาตรา ๘ วรรคหนึ่งบัญญัติว่า
การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุเฉพาะที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะให้กระทำโดยพระราชบัญญัติ
ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุอื่นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๙ บัญญัติว่า
ที่ราชพัสดุเฉพาะที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ
เมื่อเลิกใช้ประโยชน์เช่นนั้น
หรือเมื่อสิ้นสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วหรือที่ราชพัสดุที่ทางราชการหวงห้ามไว้
และทางราชการไม่ประสงค์จะหวงห้ามอีกต่อไป
ให้ถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือถอนการหวงห้าม
แล้วแต่กรณีโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และให้มีแผนที่แสดงเขตที่ดินแนบท้ายพระราชกฤษฎีกานั้น
ด้วย มาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
๓.กฏกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่มิใช่ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ
พ.ศ.๒๕๕๐ ข้อ ๔ วรรคหนึ่ง กำหนดว่าในการขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุแปลงใด
ให้ปลัดกระทรวงการคลังแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วย
อธิบดีกรมธนารักษ์ เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนกรมที่ดิน
ผู้อำนวยการสำนักประเมินราคาทรัพย์สินกรมธนารักษ์ หัวหน้ากลุ่มงานกฎหมาย
กรมธนารักษ์ และผู้แทนส่วนราชการ หน่วยงานหรือองค์กรของรัฐ
ผู้ดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ ที่จะโอนกรรมสิทธิ์นั้นอีกไม่เกินสามคน
เป็นกรรมการ...
เพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงนี้...
ข้อ ๘ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า การให้ที่ราชพัสดุจะกระทำได้เฉพาะเพื่อการศาสนา
การสาธารณกุศล การสาธารณประโยชน์อย่างอื่น หรือการโอนคืนให้แก่ผู้ยกให้หรือทายาท
ข้อ ๙ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุคืนให้แก่ผู้ยกให้หรือทายาท
จะกระทำได้เมื่อทางราชการไม่ประสงค์จะใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุนั้น
ตามวัตถุประสงค์ของผู้ยกให้หรือมิได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของผู้ยกให้ภายในระยะเวลาที่ผู้ยกให้กำหนดไว้หรือภายในห้าปีนับแต่วันที่มีการยกที่ดินนั้นให้แก่ทางราชการ
๔.กฎกระทรวงการแบ่งส่วนราชการ
กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พ.ศ.๒๕๕๗ ข้อ ๒ กำหนดว่า ให้กรมธนารักษ์
มีภารกิจเกี่ยวกับการปกครอง การดูแล การบำรุงรักษาและการพัฒนาที่ราชพัสดุ
ให้มีมูลค่าเพิ่มหรือก่อให้เกิดรายได้
การประเมินราคาทรัพย์สินเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน
และการผลิตเหรียญกษาปณ์และจัดสร้างเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์และของสั่งจ้าง
ด้วยวิธีการผลิตที่ได้มาตรฐานสากลและมีต้นทุนที่เหมาะสม เพื่อให้มีจำนวนที่เพียงพอ
ตลอดจนบริหารเงินตราและเก็บรักษาทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินให้มีความปลอดภัยและอยู่ในสภาพที่ดี
เพื่อนำออกเผยแพร่และสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม โดยให้มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑)
ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง กฎหมายว่าด้วยเงินตรา
กฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
ในคดีดังกล่าว ศาลวินิจฉัยว่า “...ที่ดินแปลงดังกล่าว
ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้ประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ตามมาตรา ๑๓๐๔(๓) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และเป็นที่ราชพัสดุ ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ตามมาตรา ๕ มาตรา ๑๒
แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.๒๕๑๘ เมื่อต่อมากรมอนามัยเลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวเนื่องจากสถานที่มีความคับแคบไม่เพียงพอแก่การให้บริการประชาชนและไปสร้างสถานีอนามัยในที่ดินแปลงอื่นตั้งแต่ปี
พ.ศ.๒๕๒๒ กรณีจึงถือว่ากรมอนามัยเลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวแล้ว
แต่ที่ดินยังคงมีสถานะเป็นที่ราชพัสดุอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะอยู่เช่นเดิม...”
“...เมื่อที่ดินแปลงดังกล่าวยังคงมีสถานะเป็นที่ราชพัสดุอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ
ซึ่งหลักเกณฑ์ในการโอนทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา ๑๓๐๕
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นั้น จะกระทำได้ต่อเมื่ออาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฏีกา
ซึ่งกรณีนี้ที่ดินพิพาทมีสถานะเป็นที่ราชพัสดุอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ
การโอนที่พิพาทดังกล่าวจึงต้องอาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะ กล่าวคือ หลักเกณฑ์ในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุตามมาตรา
๘ แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.๒๕๑๘ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองกรณี คือ การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะให้กระทำโดยการออกพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์
ส่วนการโอนที่ราชพัสดุอื่น
ให้โอนกรรมสิทธิ์ได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง...”
“...ดังนั้น
เมื่อกรมอนามัยไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๒
ประกอบกับทายาทของผู้ยกให้ที่ดินมีหนังสือลงวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗
ถึงธนารักษ์พื้นที่... ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของกรมธนารักษ์
เพื่อขอคืนที่ดินที่ราชพัสดุดังกล่าว
กรมธนารักษ์ซึ่งเป็นหน่วยราชการในสังกัดกระทรวงการคลังและมีหน้าที่ในการปกครองดูแลและบำรุงรักษาที่ราชพัสดุตามกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง
ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ พ.ศ.๒๕๔๕ ประกอบกับข้อ
๒(๑) ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พ.ศ.๒๕๕๗
จึงเป็นหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเบื้องต้นในการรวบรวมข้อเท็จจริงเสนอกระทรวงการคลังพิจารณาพยานหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องและรวบรวมข้อเท็จจริงพร้อมเสนอความเห็นเกี่ยวกับการขอโอนคืนที่พิพาทต่อคณะรัฐมนตรี
เพื่อพิจารณาว่าจะดำเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัติโอนที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะดังกล่าวคืนให้แก่ทายาทผู้ยกให้ต่อรัฐสภาหรือไม่...”
จากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีดังกล่าว
จะทำให้ทราบข้อกฎหมายและขั้นตอนการดำเนินการและหน่วยงานที่จะต้องรับผิดชอบดำเนินการ
ดังนั้น หากมีกรณีบุคคคลหรือทายาทของผู้ยกที่ดินให้ราชการ มาขอคืนที่ดินที่บริจาคให้ราชการ ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ และราชการไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวตามวัตถุประสงค์ที่ยกให้แล้ว
ก็จะสามารถแจ้งขั้นตอนในการดำเนินการดังกล่าวได้ถูกต้อง
ส่วนจะได้รับการโอนคืนจากราชการหรือไม่ เป็นอีกกรณีหนึ่ง
****************
ขอขอบคุณ
๑.ภาพจาก https://www.freepik.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น